Application โทรศัพท์มือถือของหน่วยงานท่าน…ทำผิด PDPA หรือเปล่า !?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

Application โทรศัพท์มือถือของหน่วยงานท่าน…ทำผิด PDPA หรือเปล่า !?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

“PDPA” หรือ “พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ถูกบังคับใช้ในเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 นับเป็นประเด็นสำคัญให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคตระหนักเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยยุคปัจจุบันที่มีการใช้ดิจิทัลในการดำเนินการทางธุรกิจ โดยทุกธุรกิจส่วนมากมีการแข่งกันเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภค เพื่อเป็นแต้มต่อในการแข่งขันทางการค้า โดยเฉพาะปัจจุบันที่ร้านค้าส่วนมากมีการลดการใช้การสมัครสมาชิคผ่านบัตร แต่หันมาใช้ผ่าน application แทน คำถามต่อมาคือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองหรือดูแลดีพอหรือไม่ 

โดยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่สามารถระบุถึงตัวเจ้าของข้อมูลนั้นได้ ทั้งนี้ข้อมูลส่วนบุคคลที่แอพในโทรศัพท์อาจจะมีการดึงไปใช้  เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร อีเมล ไอดีไลน์ เป็นต้น ในส่วนของกฎหมาย PDPA  ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะมีการกล่าวถึงกำหนดระยะเวลาของการเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention) ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีทำการแฮ็กข้อมูลเพื่อข่มขู่หวังผลประโยชน์จากทั้งตัวเจ้าของข้อมูลเองหรือจากบุคคลที่ดูแลข้อมูล

 

การละเมิดข้อมูลจากแอพมือถือจะเกิดขึ้นได้ในกรณี..

เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป  จะมีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลกับลูกค้าซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่เว็บไซต์ทำ โดยข้อมูลส่วนบุคคลจะมีการแชร์กับ บริษัท ของคุณ อย่างไรก็ตามในกระบวนการนี้มีความเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูลไปอยู่กับบุคคลที่สาม (third-party data processors). ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการ log-in การใช้งานแอปสามารถรวบรวมผ่านส่วนประกอบต่างๆในแอปได้ นอกจากนี้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า อาจถูกแชร์หรือโอนไปที่บุคคลที่สามซึ่งไม่ได้เป็นตามกฎหมายPDPA โดยไม่ได้รับความยินยอมที่ถูกต้อง ทั้งนี้หากหน่วยงานคุณมีความจำเป็นต้องแชร์หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปที่บุคคลที่สาม  หน่วยงานจะต้องสร้างแบบฟอร์มการแชร์ หรือโอนข้อมูลและขอความยินยอมให้โปร่งใสในการประมวลผลข้อมูลกับบุคคลที่สาม

  • จัดทำเอกสารการรวบรวมข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล

หน่วยงานจะต้องมีการแจ้งต่อเจ้าของข้อมูลว่าข้อมูลส่วนบุคคลบ้างใดที่แอป มีการเก็บรวบรวมโดยตรงจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ 

  • แจ้งผู้ใช้แอปเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล

privacy policy ของบริษัทต้องแสดงให้ชัดเจนแก่ผู้ใช้แอป และต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าเหตุใดจึงต้องมีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แจ้งว่าใครเป็นผู้ประมวลผลฯ และข้อมูลส่วนบุคคล จะมีการถูกจัดเก็บไว้ระยะเวลานานเท่าใด หากอยากรู้วิธีการเขียน Privacy Policy ให้ถูกหลัก PDPA สามารถอ่านได้ที่นี่ คลิก! 

  • แจ้งให้ลูกค้าทราบ หากหน่วยงานมีความจำเป็นในการแบ่งปัน หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล กับบุคคลที่สาม

คุณต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบกระบวนการถ่ายโอนข้อมูล หรือแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลไปให้บุคคลที่ 3 โดยจำเป็นต้องแจ้งว่า ผู้ใดรับผิดชอบในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล และเหตุใดจึงประมวลผลข้อมูลฯ  ใช้ข้อมูลอะไรบ้าง ใครเป็นผู้รับข้อมูล เหตุผลที่ต้องถ่ายโอนหรือแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

  • รวบรวม Consent ของลูกค้า

หลังจากมีการแจ้งกระบวนการไหลของของข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการขอ consent จากลูกค้า โดยหากลูกค้าไม่ให้ความยินยอมนั่นหมายถึงเราไม่สามารถกระทำการใดๆต่อข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าได้  

  • แจ้ง Contact  เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้ทุกเมื่อหากมีปัญหา หรืออยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม

เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องสามารถติดต่อ บริษัท ของคุณได้เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่คุณจัดเก็บไว้

  • จัดตั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า 

กำหนดมาตรการณ์การรักษาความปลอดภัยทางเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ตรวจสอบ และมีการประเมินเป็นประจำว่าข้อมูลส่วนบุคคลถูกจัดเก็บในรูปแบบที่มีการป้องกันหรือไม่ และการโอนข้อมูลจะถูกเข้ารหัสผ่านการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยหรือไม่

เรียกว่าหากธุรกิจใดก็ตาม ที่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในข้อมูลผู้ใช้บริการได้ ก็เสี่ยงเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจสูง ดังนั้นการลงทุนเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าจึงเป็นเรื่องจำเป็นและคุ้มค่า หากจะบอกว่า Website ถือเป็นหน้าร้านค้าของบริษัท Application โทรศัพท์ก็แทบขะไม่ต่างกันดังนั้นการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีความโปร่งใส ป้องกันปัญหาเสี่ยงรั่วไหล ถูกจารกรรม หรือถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยที่เจ้าของข้อมูลหรือคนไข้ไม่อนุญาต ดังนั้นในโอกาสที่กฎหมาย PDPA ถูกบังคับใช้ ธุรกิจทุกประเภทต้องให้ความสำคัญกับการจัดการและดูแล “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของผู้บริโภค เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิของประชาชน

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ