PDPA Focus: องค์กรแบบไหนต้องมี DPO ใช่คุณหรือเปล่า?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

PDPA Focus: องค์กรแบบไหนต้องมี DPO ใช่คุณหรือเปล่า?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer) หรือที่เรียกสั้น ๆ กันว่า DPO ตำแหน่งงานใหม่ที่ได้รับความสนใจมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่การประกาศ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในปี 2562 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าองค์กรไหนต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประจำบ้าง … และคุณจำเป็นต้องมีบุคคลนี้อยู่ในองค์กรหรือไม่

จากเดิมที่เรา ฝ่าย ICDL-PDPA สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะดิจิทัล DDTI ได้เคยรีวิวสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้ในบทความ PDPA Focus: ตอน Data Protection Officer – DPO (เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) เมื่อต้นปี (2564) ได้มีการจัดเสวนา การรับฟังความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายลำดับรองกลุ่มที่ 1 ภายใต้โครงการศึกษาและเตรียมการเพื่อจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งนำเสนอ ร่างประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ส่วนหนึ่งกล่าวถึงลักษณะขององค์กรที่ต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างละเอียดและชัดเจนมากขึ้น โดยขยายความเพิ่มเติมจาก PDPA มาตรา 41

ลักษณะขององค์กรที่ต้องมี DPO

ลองเช็กดูว่าองค์กรของคุณเข้าข่ายตามนี้หรือไม่? ถ้าใช่ตั้งแต่ข้อ 1-2 ก็ชัวร์แล้ว องค์กรของคุณจะต้องมี DPO ครับ

1. องค์กรสาธารณะหรือหน่วยงานรัฐ (Public Authorities) ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ (ยกเว้นศาลที่ประมวลผลข้อมูลเพื่อดำเนินการตามขอบเขตของอำนาจศาล)

2. องค์กรที่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอันมีลักษณะพิเศษจำนวนมาก โดยนิยาม “จำนวนมาก” อันเป็นเหตุที่องค์กรจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือ

  • มีข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมากกว่า 50,000 ราย อยู่ภายใต้ความดูแล ในระยะเวลา 12 เดือน
  • มีข้อมูลส่วนบุคคลอันมีลักษณะพิเศษ (PDPA มาตรา 26) ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมากกว่า 5,000 ราย อยู่ภายใต้ความดูแล ในระยะเวลา 12 เดือน
  • มีพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นประจำมากกว่า 20 คน
  • มีสาขาหรือสถานที่ที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมากกว่า 20 แห่ง
 


3. ผู้ให้บริการบัตรโดยสารสาธารณะ หรือบัตรอื่น ๆ ที่ผู้ให้บริการบัตรหรือบุคคลอื่นนอกเหนือเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลการใช้งานบัตรได้

4. บริษัทประกันภัย ธนาคารพาณิชย์ หรือธุรกิจที่มีการตรวจสอบสถานะ ประวัติ หรือคุณสมบัติของลูกค้าก่อนทำสัญญาหรือให้บริการ

5. แพลตฟอร์ม Search Engine หรือ Social Media ที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการโฆษณาตามพฤติกรรม (Behavioral Advertising)

6. ผู้ให้บริการเฝ้าระวังพฤติกรรมของบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการรักษาความปลอดภัยของสถานที่

*โดยทั้งนี้ข้อ 3. – 6. จะต้องเป็นองค์กรที่เข้าข่ายประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก หรือข้อมูลส่วนบุคคลอันมีลักษณะพิเศษจำนวนมากตามที่กล่าวในข้อ 2.




ข้อมูลส่วนบุคคลอันมีลักษณะพิเศษ (Special Categories of Personal Data) และ ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Data)  คือ ข้อมูลประเภทเดียวกัน มีการใช้คำปรับเปลี่ยนตามกฎหมาย GDPR ของยุโรป เนื่องจากแต่ละบุคคลตีความ “ความอ่อนไหว” ของข้อมูลไม่เท่ากัน บางคนอาจคิดว่าข้อมูลบางชุดไม่อ่อนไหว และไม่ได้ปรับใช้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลอย่างเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด ข้อมูลส่วนบุคคลอันมีลักษณะพิเศษมีความหมายที่ครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคลกลุ่มนี้ได้กว้างและเหมาะสมกว่าคำเดิม


แม้ลักษณะขององค์กรที่ต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กล่าวมาข้างต้น จะยังไม่ได้รับการบัญญัติเป็นกฎหมายรอง (ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ) ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ทำให้เราสามารถมองเห็นแนวโน้มได้ว่าองค์กรของคุณเข้าข่ายหรือไม่ เพื่อเตรียมการสำหรับการแต่งตั้ง DPO ตามหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล/ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ PDPA

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็น “วัฒนธรรมใหม่” ที่ทุกคนในองค์กรโดยเฉพาะผู้บริหารควรรู้ และเริ่มต้นปรับการดำเนินงานภายในองค์กรให้สอดคล้องกับกฎหมาย การมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลช่วยส่งเสริมให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นระบบ และเหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ความดูแลเป็นจำนวนมาก หรือมีผลกระทบสูงหากเกิดการละเมิด

…………………………

หากคุณเป็นอีกคนที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับประเด็นด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล องค์กรต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ หรือดำเนินการคุ้มครองข้อมูลฯ ในมิติอื่น ๆ อย่างไร ปรึกษาเราได้ที่ pdpa.online.th หรือเฟซบุ๊ก PDPA Thailand ให้เราเป็น Solution ด้าน PDPA ที่ใช่สำหรับคุณ

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ