‘ธุรกิจสูงวัย’ จะจัดการอย่างไร? ไม่ให้ละเมิดข้อมูลลูกค้าตามกฎหมาย PDPA

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

‘ธุรกิจสูงวัย’ จะจัดการอย่างไร? ไม่ให้ละเมิดข้อมูลลูกค้าตามกฎหมาย PDPA

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

หลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และจากข้อมูลในปีที่ผ่านมาระบุว่าประเทศไทยมีปริมาณผู้สูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) ประมาณร้อยละ 14 ของปริมาณประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่าไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวสู่สังคมสูงอายุเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการผู้สูงอายุจึงเกิดขึ้นตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น อาทิ ด้านการดูแลรักษาพยาบาล การแพทย์ บ้านพักคนชรา บริการด้านความงาม ท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ตลอดจนสินค้าอุปโภค-บริโภคต่างๆ ซึ่งเป็นธุรกิจกระแสแรง และมีธุรกิจใหม่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดสอดรับเมกะเทรนด์โลก

ขณะที่การบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ กฎหมาย PDPA มีผลต่อธุรกิจอย่างมากรวมถึงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุจะต้องมีมาตรการและความพร้อมสำหรับรับมือ ‘กฎหมายใหม่’ ที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงการละเมิดได้ง่ายมาก หากไม่ระวัง ! โดยมี 3 ประเด็นหลักๆ ที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ ดังนี้

  1. เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สูงอายุ ต้องขอความยินยอม : ข้อมูลทั่วไปของผู้สูงอายุ เช่น ชื่อ นามสกุล อายุ เบอร์โทร ที่อยู่ วันเกิด เพศ การศึกษา อาชีพ ภาพถ่ายใบหน้า อีเมล เลขบัญชีธนาคาร ตลอดจนข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อมจะต้อง ขอความยินยอม’ หากมีการเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผยเพื่อกิจกรรมทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ
  2. เก็บข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุผิดกฎหมาย PDPA : โดยการเก็บ รวมรวมใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลสุขภาพ’ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Data) รวมถึงการเก็บข้อมูล ความพิการ ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ’ ก็เข้าข่ายข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว โดยในทางทฤษฎี กฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้ฐานสัญญาในการเก็บรวบรวมข้อมูลสุขภาพ หมายความว่าธุรกิจใดก็ตามไม่สามารถเอาเอกสารสัญญาในลักษณะต่างๆ มาอ้างอิงเพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวนี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุ ข้อมูลด้านความพิการ ข้อมูลพันธุกรรม และข้อมูลชีวภาพ (สแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ) ที่เรามักจะเห็นบ่อยครั้งว่า สถานพยาบาลเอกชน คลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ หรือบ้านพักคนชรา จะมีการเก็บหรือประมวลผลข้อมูลนี้ โดยในบทบัญญัติของกฎหมายเท่ากับเป็นการละเมิด เว้นแต่ จะเป็นความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นในการเก็บข้อมูล
  3. ผู้สูงอายุที่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถให้ความยินยอมในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลด้วยตนเองไม่ได้ : โดยผู้สูงอายุที่มีความพิการ วิกลจริต ความจำเสื่อม อัมพาต ป่วยรุนแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือทำภารกิจส่วนตัวเองไม่ได้ จะต้องอยู่ในการดูแลของผู้อนุบาล จะให้การยินยอมในการเก็บใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลด้วยตนเองไม่ได้ และหากธุรกิจมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีดังกล่าว ถือว่าทำผิดกฎหมาย PDPA เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากกผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลที่มีอำนาจกระทำการแทนตามกฎหมาย

กฎหมาย PDPA มีข้อยกเว้นในการที่สถานพยาบาล โรงพยาบาล คลินิก สถานดูแลรับเลี้ยง หรือธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในกิจกรรมต่างๆ หากจะมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งทางกฎหมายจะต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลหรือขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์/ผู้ให้การดูแลที่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ก็มีบางกรณีสามารถเก็บหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป และข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวได้ตามกฎหมาย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความ จำเป็น เช่น

  1. เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของลูกค้า อาทิ ประโยชน์ด้านการักษา หรือการพยาบาลดูแล
  2. เป็นการปฏิบัติตามสัญญา หรือตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญานั้นในกรณีที่ข้อมูลที่มีการเก็บใช้เป็นข้อมูลบุคคลทั่วไป
  3. เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น กรณีสถานพยาบาล โรงพยาบาล บ้านพักคนชรา ฯลฯ
  4. เป็นการดำเนินการภายใต้ฐานกฎหมายโดยชอบ หรือกฎหมายอื่นๆ ให้ทำได้
  5. เป็นการปฏิบัติตามสิทธิเพื่อดำเนินธุรกรรมต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น ด้านสวัสดิการ ประกันสังคม หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การเยียวยา การฟ้องร้องคดี การคุ้มครองสิทธิแรงงาน
  6. เพื่อประโยชน์สาธารณะด้านการสาธารณสุข เช่น การป้องกันโรคระบาด

 

ในกรณีที่สถานประกอบการต่างๆ อาจจะใช้ ฐานประโยชน์โดยชอบ ซึ่งเป็นเหตุผลในการดำเนินธุรกิจ โดยการเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลผู้สูงอายุ แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นแล้วแต่กรณี ตามที่ได้ระบุไว้ในข้างต้น

อย่างไรก็ตาม กฎหมาย PDPA แม้จะอนุญาตให้เก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ในกรณีข้างต้น แต่สถานประกอบการต่าง จะต้องจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสม ปลอดภัย เพื่อคุ้มครอง สิทธิขั้นพื้นฐานและประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย  

ทั้งนี้ธุรกิจผู้สูงอายุที่มีการเก็บ รวมรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลลูกค้า มีสถานะเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ดังนั้นจึงมีหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ในการจัดทำบันทึกรายการข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เจ้าของข้อมูลและคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสามารถตรวจสอบได้ โดยจัดทำเป็นเอกสารหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะต้องประกอบด้วยข้อมูล ดังนี้

  1. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
  2. วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท และนำไปใช้ในกิจกรรมใดบ้าง
  3. ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งก็คือข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ
  4. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ควรมีการระบุให้ชัดเจน
  5. สิทธิและวิธีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ที่ต้องมีการดำเนินการให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงประโยชน์ในด้านการเรียกร้องสิทธิได้โดยง่าย รวมทั้งจัดทำเงื่อนไขเกี่ยวกับบุคคลที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ
  6. การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอม มีการเปิดเผย หรือส่งต่อข้อมูลใดบ้าง
  7. มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อฟ้องกันข้อมูลรั่วไหลหรือละเมิดข้อมูลลูกค้า
  8. ทำบันทึกการปฏิเสธคำขอหรือการคัดค้านในกรณีที่มีการเรียกร้องสิทธิ อาทิ การให้แก้ไข ระงับ ถ่ายโอน หรือลบทำลายข้อมูล

ถึงกระนั้น การทำบันทึกรายการข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมาย PDPA อาจยกเว้นมิให้นำมาใช้บังคับกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็น ‘กิจการขนาดเล็ก ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด คือมีการเก็บข้อมูลเป็นครั้งคราว และไม่ได้มีการเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากไว้ ซึ่งในนิยามของ ข้อมูลจำนวนมาก หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีการจัดเก็บข้อมูลบุคคลทั่วไปที่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูล 50,000 ราย หรือมีข้อมูลอ่อนไหว(Sensitive Data)ของเจ้าของข้อมูล 5,000 ราย เว้นแต่ มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับตามกฎหมาย PDPA ธุรกิจด้านผู้สูงอายุ อาจสามารถนำข้อกฎหมายอื่นๆ มาเทียบเคียง หรืออ้างสิทธิการปฏิบัติโดยชอบได้ อาทิ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 แผนผู้สูงอายุฉบับที่ 2 (2545-2564) เป็นต้น แต่จะต้องเป็นเงื่อนไขหรือการปฏิบัติที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายเท่านั้น

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ