บอกให้รู้ ดูให้ชัวร์! เปิดเผยข้อมูลลูกค้าแก่บุคคลที่สาม (Third-party) กับข้อควรระวังป้องกันละเมิดกฎหมาย PDPA ต้องทำอย่างไร?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

บอกให้รู้ ดูให้ชัวร์! เปิดเผยข้อมูลลูกค้าแก่บุคคลที่สาม (Third-party) กับข้อควรระวังป้องกันละเมิดกฎหมาย PDPA ต้องทำอย่างไร?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

ธุรกิจที่เปิดเผยขอมูลลูกค้าแก่บุคคลที่สามต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้ละเมิดกฎหมาย PDPA สิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจควรรู้ และปรับเปลี่ยนเพื่อให้กิจกรรมของธุรกิจสอดคล้องกับกฎหมาย และข้อควรระวังเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ตั้งใจ

หากธุรกิจคุณมีสถานะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) จะสามารถนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ส่งต่อให้บุคคลคลหรือนิติบุคลอื่นไปใช้เพื่อกิจกรรมทางธุรกิจได้หรือไม่?
คำเฉลยของคำถามนี้ค่อนข้างยาว..แต่หากจะให้ตอบแบบสรุปเลยก็คือ ‘ได้’ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนที่กฎหมาย PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 กำหนดไว้ โดยในด้านธุรกิจสามารถแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้

        กรณีที่ 1. ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ซึ่งมีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยในกรณีนี้เราหมายถึง ‘ข้อมูลลูกค้า’ และได้ยินยอมให้ดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในเอกสารความยินยอม (Consent) อย่างชัดเจน โดยมีการเปิดเผย หรือส่งต่อข้อมูลให้กับคู่ค้าหรือคู่สัญญาที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล’ (Data Processer) ดำเนินการประมวลผลเพื่อกิจกรรมด้านการตลาด หรือกิจกรรมของธุรกิจที่มีการระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคล และได้แจ้งไว้ใน Privacy Notice (ประกาศความเป็นส่วนตัว) การดำเนินการลักษณะนี้จึงสามารถทำได้โดยชอบภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมาย

         กรณีที่ 2. ผู้ควบคุมข้อมูลฯ นำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าซึ่งได้มีการเก็บรวบรวมไปเปิดเผยต่อ ‘บุคคลที่สาม’ (Third-party) ที่ไม่ใช่ผู้ประมวลผลข้อมูลฯ เพื่อให้ดำเนินการ
ด้านกิจกรรมทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหากเป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์เดิมที่มีการแจ้ง และขอความยินยอมจากลูกค้าแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายเช่นกัน แต่ควรที่จะต้องแจ้งรายละเอียดไว้ใน Privacy Notice ด้วยว่า บริษัทฯ ได้มีการแบ่งปันข้อมูลแก่บุคคลที่สาม เช่น ได้เปิดเผยข้อมูลแก่ที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ตลาด (สามารถระบุชื่อ หรืออาจไม่ระบุชื่อเนื่องจากเป็นความลับทางธุรกิจ) เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจ ทั้งนี้ หากมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อดำเนินการที่ต่างจากวัตถุประสงค์เดิมที่แจ้งและขอความยินยอมไว้ก่อนนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลฯ จะต้องแจ้งและขอความยินยอมใหม่แก่เจ้าของข้อมูลก่อนดำเนินการทุกครั้ง

หากต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่ บุคคลที่สามในต่างประเทศ ทำอย่างไร?

กรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ส่งหรือโอนข้อมูลลูกค้า ให้แก่บุคคลที่สามซึ่งอยู่ใน ‘ต่างประเทศ กำหมายกำหนดว่า ประเทศปลายทางต้องมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ หรือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด 

เว้นแต่

1.เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย

2.ได้แจ้งให้เจ้าของข้อมูลฯทราบถึงมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เพียงพอของประเทศปลายทาง และเจ้าของข้อมูลฯให้ความยินยอมแล้ว

3.เป็นการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลฯ เป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลฯ

4.เป็นการทำตามสัญญาระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลฯ กับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลฯ

5.เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ

6.เพื่อประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ

อภิธานศัพท์ ‘บุคคลที่สาม’ คือใครบ้าง

หากอ้างอิงตาม GDPR (General Data Protection Regulation) ที่ให้คำจำกัดความของ ‘บุคคลที่สาม’ หมายถึง บุคคล หรือนิติบุคคล หน่วยงานสาธารณะ หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานอื่น ที่นอกเหนือจากเจ้าของข้อมูล ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ผู้ประมวลผลข้อมูลฯ และบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการส่วนบุคคลภายใต้อำนาจหน้าที่โดยตรงของผู้ควบคุมหรือผู้ประมวลผลข้อมูล อาทิ
-พันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นคู่ค้า
-คู่สัญญาที่เป็นบุคคล หรือนิติบุคคลที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างในการดำเนินการส่วนต่างๆ ของธุรกิจ
– หน่วยงานรัฐที่ธุรกิจจะต้องส่งข้อมูลให้ตามกฎหมาย เช่น หน่วยงานภาษี สิทธิแรงงาน ประกันสังคม บริการด้านสุขภาพและการรักษา เป็นต้น
-เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติตามกฎหมาย

*แนะนำ : ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ควรอัปเดตข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้า และสถานะความยินยอมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจด้วยว่ารายการหรือฐานข้อมูลเป็นปัจจุบัน ป้องกันการละเมิดสิทธิแก่ลูกค้าที่ได้มีการขอให้แก้ไข ระงับ หรือเพิกถอนความยินยอมในการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ก่อนส่งต่อหรือเปิดเผยข้อมูลแก่บุคคลที่สาม

5 สิ่งสำคัญที่ควรต้องมี ในข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลฯ แก่บุคคลที่สาม 

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าแก่บุคคลที่สาม ผู้ประกอบการธุรกิจไม่เพียงต้องแจ้งและขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลฯ ตามวัตถุประสงค์ที่มีการดำเนินการ แต่ จำเป็น ต้องมีการจัดทำ ‘ข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Sharing Agreement) ซึ่งจะเป็นเอกสารสัญญาที่มีผลตามกฎหมายในลักษณะ คู่สัญญา’ ซึ่งรายละเอียดในสัญญาจะต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้  

1. กำหนดวัตถุประสงค์หลักภายใต้ความตกลงของสัญญาในการ แบ่งปัน โอน แลกเปลี่ยน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องดำเนินการตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

2. ระบุข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้แบ่งปันแก่คู่สัญญา โดยการจัดทำเป็นรายการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งกำหนดวัตถุประสงค์ในการแบ่งปันข้อมูลแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เช่น มีการเปิดเผยข้อข้อมูลชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล เพื่อดำเนินการวิเคราะห์ด้านการตลาดเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการขายสินค้า เป็นต้น 

3. กำหนดหน้าที่อย่างชัดเจนในการดำเนินการของบุคคลที่สาม ซึ่งผู้ควบคุมข้อมูลฯ ได้ส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าในดำเนินการในกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ เช่น ระบุเป็นข้อๆ ว่า บุคคลมีหน้าที่ที่ต้องดำเนินการในกิจกรรมใดบ้าง

4. ข้อตกลงในการทำผิดวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไขตามสัญญา ซึ่งผู้ควบคุมข้อมูลมีสิทธิที่จะระงับหรือยกเลิกสัญญา รวมทั้งเงื่อนไขชดใช้ในกรณีมีความเสียหายเกิดขึ้น

5. ข้อปฏิบัติในกรณีเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ที่บุคคลที่สามจะต้องทำรายการและแจ้งแก่ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ทุกครั้งที่มีการละเมิดโดยไม่ชักช้า

ตามกฎหมาย PDPA ยังระบุถึงหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลฯ จะต้องทำบันทึกการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะต้องจัดทำเป็นสำเนาไปให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลฯ ตรวจสอบ ในกรณีนี้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลที่สาม จึงต้องจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผลหรือเปิดเผยข้อมูลฯ นั้นด้วย เพื่อเป็นหลักฐานในการป้องกันการละเมิดกฎหมาย

รวมทั้ง ใน Privacy Notice ต้องมีการอัปเดตอยู่เสมอด้วยเช่นกัน หากผู้ควบคุมข้อมูลฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อของบุคคลที่สามที่ได้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าไปใช้หรือประมวลผลต่างๆ และจะต้องมีช่องทางติดต่อสำหรับเจ้าของข้อมูลและบุคคลที่สามซึ่งได้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ เพื่อเป็นการดำเนินการด้านสิทธิแก่เจ้าของข้อมูลตามที่กฎหมาย PDPA กำหนดไว้

ถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่าการดำเนินการในหลายส่วน ออกจะดู หยุมหยิม ไปบ้าง แต่เนื่องจากการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญสำหรับธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งการละเมิดไม่เพียงหมายถึงความล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ ความน่าเชื่อถือ และความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและลูกค้า ธุรกิจจึงต้องใส่ใจต่อเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ และจะมองว่าเป็นเพียงข้อบังคับที่ยุ่งยาก หรือแค่จำเป็นต้องทำตามกฎหมายก็อาจจะไม่ใช่วิธีคิดที่รอบคอบมากนัก

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ