PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

“ถ้าสินค้านั้นฟรี คุณก็คือสินค้า” คำกล่าวติดตลกของนักการตลาดที่ไม่ได้ตลกเลยซักนิดเดียว ทำนองเดียวกับตรรกะทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แม้แต่อากาศที่คุณกำลังหายใจ”

ข้อเท็จจริงเชิงเปรียบเทียบในลักษณะนี้เรามักพบเจอได้ในกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำข้อมูลบุคคลมารวบรวม และวิเคราะห์เพื่อการขายสินค้าหรือบริการ แต่เมื่อทั่วโลกมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค และประเทศไทยกำลังบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่สามารถ ‘ยืมใช้’ อย่างระมัดระวังเท่านั้น

เรื่องนี้ อาจมองว่าเป็น ‘ตลกร้าย’ สำหรับนักการตลาดที่แต่เดิมข้อมูลส่วนบุคคลที่นำมาใช้กันราวเป็น ‘ของฟรี’ ผ่านการทำแคมเปญต่างๆ เพื่อค้นหา Customer Journey หรือ เส้นทางของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนจะเป็นลูกค้า จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ รวมถึงกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้นซ้ำ ๆ โดยการรวบรวมข้อมูลลูกค้า นำมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ที่เรียกว่า Behavior Marketing แต่ทราบหรือไม่ว่า คุณอาจกำลังทำผิดกฎหมาย PDPA อยู่ !!

เพราะภายใต้กฎหมาย PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ ในการจะยินยอม หรือไม่ยินยอมให้ใช้ข้อมูล รวมถึงสิทธิการขอให้แก้ไข ระงับ ถ่ายโอน หรือเพิงถอนไม่ให้นำข้อมูลไปใช้ในกิจกรรมทางการตลาดก็ได้ และเป็นสิทธิที่ผู้บริโภคในปัจจุบันเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีเลยทีเดียว

 

ดังนั้น รูปแบบการทำ Behavior Marketing จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของกฎหมาย คำถามคือ แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย PDPA ?

 

3 สิ่งที่การตลาดแบบ Behavior Marketing ต้องใส่ใจกฎหมาย PDPA

ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลผู้บริโภคที่ทั่วโลกต้องดำเนินการ คือ ต้องการมีแนวทางในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อการขาย ส่งเสริมการขายและบริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม และปลอดภัย อันประกอบด้วย

1. การรักษาความลับของข้อมูลลูกค้า (Confidentiality) ตลอดจนจำกัดการเข้าถึงข้อมูลเพื่อปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

2. ความถูกต้องและสมบูรณ์ของข้อมูล (Integrity) รวมถึงการป้องกันการดัดแปลง นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ

3. ความพร้อมของข้อมูล (Availability) โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ในเวลาที่ต้องการ ตลอดจนสามารถขอให้แก้ไข ถ่ายโอน ระงับหรือเพิกถอนการเก็บ รวบรวมใช้หรือเปิดเผย

 

แนะวิธีบริหารความเสี่ยงสำหรับกิจกรรมทางการตลาด

นอกจากหลักความเป็นธรรมและปลอดภัย การตลาดควรมีแนวทางในการบริหารและจัดการความเสี่ยงของข้อมูลลูกค้าอย่างเหมาะสม โดยวิธีการ ‘จำแนกข้อมูลตามระดับความเสี่ยงและผลกระทบ’ ที่อาจจะเกิดขึ้นแก่องค์กร หรือแคมเปญการตลาดต่างๆ ว่า หากเกิดการละเมิดจะมีการรับมืออย่างไร

โดยมีการแบ่งระดับข้อมูลลูกค้าเป็น 3 ระดับ คือ เสี่ยงต่ำ ปานกลาง และเสี่ยงสูง หรืออาจจำแนกได้มากกว่า หรือละเอียดกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กร หรือประเภทของข้อมูลและการใช้งาน อาทิ แคมเปญที่ต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive data) ต่าง ๆ หรือข้อมูลเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เพียงมีการจัดลำดับของประเภทของข้อมูลลูกค้า นักการตลาดยังจะต้องมีการจัดทำแบบ ประเมินผลกระทบ หรือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกละเมิดความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในกิจกรรมด้านการตลาดรูปแบบต่าง ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ Behavior Marketing ที่มีการเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้า ที่โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะการเก็บและใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงแต่ข้อมูลทั่วไป คือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร อายุ แต่ยังรวมถึงข้อมูลด้านพฤติกรรมและความสนใจ โดยสามารถดำเนินการได้โดยใช้หลักเกณฑ์ จาก

• ความสามารถในการระบุตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมที่อาจจะกระทบต่อลูกค้า
• ปริมาณของข้อมูลลูกค้าที่มีการจัดเก็บ อาจจะต้องดูที่ความ ‘จำเป็น’ ในการเก็บใช้ข้อมูล
• ความอ่อนไหวตามประเภทของข้อมูล อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว และข้อมูลเด็กที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม การบริหารความเสี่ยงสำหรับการตลาดแบบ Behavior Marketing จึงยังต้องดูทั้ง ‘ก่อนใช้’ และ ‘หลังใช้งาน’ คือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหากมองโดยหลักการ ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อกิจกรรมด้านการตลาดจะมีการเก็บ รวมรวมใช้ หรือเปิดเผย จะต้องมีการสร้างแบบฟอร์มขอความยินยอม (Consent) และต้องระบุวัตถุประสงค์ในการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลโดยชัดเจน และไม่นำข้อมูลไปใช้ผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม

ตรงนี้ นักการตลาด หรือเจ้าของธุรกิจอาจจะตั้งข้อสังเกตได้ว่า หากจะต้องทำแคมเปญการตลาดเดือนละ 10 แคมเปญ จะต้องมีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลทุกแคมเปญหรือไม่ ?

คำตอบของเรื่องนี้ แม้จะค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่หากให้อ้างอิงตามกฎหมาย PDPA ที่กำลังจะบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน นี้ ก็คงจะต้องบอกว่า ยังเป็นกฎหมายที่มีรายละเอียดที่ ‘ดิ้นได้’

จากประเด็นนี้ แบบฟอร์มขอความยินยอมจากลูกค้าเพื่อเก็บใช้หรือเปิดเผย ข้อมูลลูกค้าสำหรับกิจกรรมทางการตลาด ก็อาจจะสามารถกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ ‘กว้าง ๆ ’ ไว้ก่อน แต่ควรระมัดระวังการใช้งานเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิที่อาจจะทำให้เกิดการรบกวน สร้างความรำคาญ หรือส่งผลกระทบต่อชื่อเสี่ยง จิตใจ หรือสร้างความขัดแย้งอันจะนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย PDPA

 

7 ฐานความยินยอมที่การตลาดประมวลผลข้อมูลลูกค้าได้

จากรูปแบบของการทำการตลาดแบบ Behavior Marketing ยังสามารถประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าตามฐานกฎหมาย โดยมี 7 ฐานที่การตลาดควรรู้ คือ

1. ฐานตามสัญญา (Contract) เป็นการประมวลผลข้อมูลที่ไม่ต้องขอความยินยอมเนื่องจากการปฏิบัติตามสัญญา โดยในทางการตลาดการจะสามารถกำหนดสามารถทำได้ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ อาทิ ฐานสัญญาจากลูกค้าที่ใช้บริการฟิตเนสที่สามารถนำมาประมวลผลเพื่อการตลาดหรือบริการภายในฟิตเนสได้

2. ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation) เป็นฐานที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อกฎหมาย PDPA หรือกฎหมายอื่นๆ อนุญาตให้ทำได้ ฐานนี้สำหรับ Behavior Marketing จะมีความเกี่ยวโยงกับฐานสำดับต่อไป

3. ฐานประโยชน์อันชอบธรรม (Legitimate Interest) นับเป็นฐานที่ยืดหยุ่นและอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับ Behavior Marketing หากผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลสามารถระบุได้ว่า เป็นประโยชน์อันชอบธรรม ‘สมเหตุสมผล’ ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งมีผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพียงเล็กน้อย และอาจจะต้องอ้างอิงตามฐานกฎหมาย โดยเรื่องนี้นักการตลาดจะต้องปรึกษานักกฎหมายในองค์กรก่อนจะใช้ฐานนี้

4. ฐานจดหมายเหตุ วิจัย สถิติ (Scientific or Research) สำหรับการตลาดแบบ Behavior Marketing อาจจะหมายถึงการทำวิจัยการตลาดที่เป็นประโยชน์สาธารณะ และปฏิบัติตามกฎหมาย

5.ฐานภารกิจของรัฐ (Public Task) การประมวลผลที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์แก่รัฐ หรือรัฐเป็นผู้ให้ดำเนินการ

6. ฐานประโยชน์สำคัญต่อชีวิต (Vital Interest) กรณีนี้ คำว่า ‘สำคัญต่อชีวิต’ อาจจะตีความสำหรับการตลาดในแง่มุมที่หลากหลาย ยกตัวอย่าง สถานบริการสุขภาพเอกชนอาจจะทำแคมเปญการตลาดในรูปแบบ Behavior Marketing ด้วยการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลลุกค้าโดยไม่ต้องขอความยินยอมเพิ่มเติมได้ หากสามารถชี้แจงได้ว่า สิ่งนั้นมีประโยชน์ สำคัญต่อชีวิตของลูกค้า หรือลูกค้าไม่อยู่ในสภาพที่ให้ความยินยอมโดยวิธีปกติได้

7. ฐานความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล (Consent) เป็นการให้ประมวลผลข้อมูลโดย ‘สมัครใจ’ จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยแจ้งวัตถุประสงค์ชัดเจนตามที่ระบุไว้ในตอนต้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่นำมากล่าวอ้างเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นแค่ ‘ทฤษฎี’ ซึ่งในเร็วๆ นี้กฎหมาย PDPA จะบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการทำกิจกรรมด้านการตลาดและส่งเสริมการขายในลักษณะต่าง ๆ ที่มีการประมวลผลข้อมูลลูกค้า จะต้องมีความระมัดระวัง และเป็นไปได้ว่าจะเกิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย

ซึ่งอย่างที่บอกในข้างต้น ‘โลกนี้ไม่มีอะไรที่ฟรี’ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล เจ้าของธุรกิจอาจจะพิจารณาจ้างผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คอยให้คำปรึกษา หรือแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(DPO)ในองค์กรเพื่อป้องกันความเสี่ยงการละเมิดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม