PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand
1 มิถุนายน 2567 ครบรอบ 2 ปีบังคับใช้กฎหมาย PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งฉบับอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาทางคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ได้มีการออกกฎหมายลำดับรอง หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายลูก” ออกมาหลายฉบับ เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ รับรู้และได้ศึกษาเพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
 
PDPA Thailand ชวนอัปเดตกฎหมายลูกสำคัญที่องค์กรต้องรู้
 
กฎหมายลูก ประเภทที่ 1: พระราชกฤษฎีกา
หน่วยงานหรือองค์กรที่มีลักษณะตามประกาศฉบับนี้ ได้รับการยกเว้นการทำตาม PDPA ในบางส่วน (การขอความยินยอมและการขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล) เช่น กิจกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การฟอกเงิน การดำเนินการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีที่ดิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามทุกองค์กรยังคงต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม
กฎหมายลูก ประเภทที่ 2: ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง
กิจการขนาดเล็กตามประกาศฉบับนี้ ไม่จำเป็นต้องบันทึกรายการของกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (RoPA) ตามกระบวนการของ PDPA ครบทุกเรื่อง โดยสามารถทำเป็นบางข้อ หรือแบบย่อสำหรับส่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ตรวจสอบได้
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นกิจการขนาดเล็กที่ได้รับการยกเว้น:
    • วิสาหกิจขนาดย่อมหรือขนาดกลาง
    • วิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน
    • วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือกลุ่มกิจการเพื่อสังคม
    • สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ หรือกลุ่มเกษตรกร
    • มูลนิธิ สมาคม องค์กรศาสนา หรือองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร
    • กิจการในครัวเรือนหรือกิจการอื่นในลักษณะเดียวกัน
ข้อจำกัด 1) ผู้ได้รับยกเว้นต้องไม่เป็นผู้ให้บริการที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลการเข้าชม การใช้งาน หรือการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน และไม่รวมผู้ให้บริการร้านอินเทอร์เน็ต และ 2) การยกเว้นไม่รวมถึงกรณีที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล หรือกรณีที่ไม่ใช่การดำเนินการเป็นครั้งคราว หรือเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวตามมาตรา 26
 
ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องจัดทำบันทึกรายการของกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือที่เรารู้จักกันในนาม Record of Processing Activities (RoPA) ประกอบด้วยรายละเอียดเป็นอย่างน้อย ดังนี้
    • ชื่อและข้อมูลติดต่อของผู้ประมวลผลข้อมูล
    • ชื่อและข้อมูลติดต่อของผู้ควบคุมข้อมูล
    • หมวดหมู่ของข้อมูลส่วนบุคคลที่ประมวลผล
    • ผู้รับข้อมูลส่วนบุคคล (ถ้ามี)
    • การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ (ถ้ามี)
    • ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
    • มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
ข้อจำกัด บันทึกต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่อย่างสม่ำเสมอ จัดเก็บไว้อย่างน้อย 3 ปีนับตั้งแต่วันที่เลิกประมวลผลข้อมูล และต้องนำส่งบันทึกฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เมื่อได้รับการร้องขอ
*ผู้ประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก (พนักงานไม่เกิน 50 คนและรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาท) อาจได้รับการยกเว้นบางข้อกำหนด
 
ขั้นตอนและมาตรฐานขั้นต่ำที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจำเป็นต้องปฏิบัติตามเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Security) ประกอบด้วย
มาตรการหลัก:
    • ต้องมีทั้งมาตรการเชิงองค์กร เชิงเทคนิค และเชิงกายภาพ
    • คำนึงถึงการระบุความเสี่ยง การป้องกัน การตรวจสอบ การเผชิญเหตุ รวมถึงการฟื้นฟู
    • มีการรักษาความลับ, ความถูกต้องครบถ้วน และความพร้อมใช้งานของข้อมูล (Confidentiality, Integrity, and Availability)
    • ครอบคลุมทุกส่วนประกอบของระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง
การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล:
    • มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ร้องขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    • มีการอนุญาต/กำหนดสิทธิการเข้าถึงและใช้งานตามความเหมาะสม
    • มีการบริหารจัดการสิทธิผู้ใช้งานที่ดี
    • มีการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ใช้งาน
    • มีระบบสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
การสร้างความตระหนักรู้: มีการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และแจ้งนโยบายแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง
การทบทวนมาตรการ: ต้องทบทวนเมื่อจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ข้อกำหนดสำหรับผู้ประมวลผลข้อมูล: ผู้ควบคุมข้อมูลต้องกำหนดให้ผู้ประมวลผลมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และต้องแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลให้ผู้ควบคุมข้อมูลทราบ
ความสัมพันธ์กับกฎหมายอื่น: หากมีกฎหมายอื่นกำหนดมาตรการไว้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนั้นและต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำในประกาศนี้
 
โทษทางปกครองเป็นสิ่งที่องค์กรต่างไม่อยากโดนภายใต้กฎหมาย PDPA เพราะอาจโดนปรับเป็นล้าน! โดยกฎหมายรองฉบับนี้ออกมาเพื่อกำหนดมาตรฐานการพิจารณาหรือตัดสินโทษของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญให้ชัดเจนมากขึ้น ดังนี้
หลักเกณฑ์การพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
    • คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น รายละเอียดการกระทำผิด ความร้ายแรง ขนาดกิจการ ผลกระทบ ประโยชน์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับและผลกระทบต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล มูลค่าความเสียหาย ประวัติการถูกลงโทษ  การเยียวยาและการบรรเทาความเสียหาย การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และข้อเท็จจริงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    • แบ่งระดับความร้ายแรงเป็น 2 กรณี:
1) กรณีไม่ร้ายแรง > ให้ตักเตือนหรือสั่งให้แก้ไขก่อน
2) กรณีร้ายแรงหรือไม่ปฏิบัติตามคำเตือน > สั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ระบวนการออกคำสั่งและบังคับโทษ
    • คำสั่งทางปกครองต้องทำเป็นหนังสือ ระบุรายละเอียดการพิจารณาและเหตุผล ประกอบด้วย ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในการกระทำความผิด ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลยพินิจ และรายละเอียดของการปฏิบัติตามคำสั่ง
    • หากไม่ชำระค่าปรับ ให้มีหนังสือเตือนและอาจนำไปสู่การยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สิน
    • คำสั่งของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญให้เป็นที่สุด
 
เมื่อเกิดเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลขึ้น เช่น มีข้อมูลรั่วไหล ข้อมูลเสียหาย ระบบขององค์กรถูกแฮกและเกิดการโจรกรรมข้อมูล เป็นต้น องค์กรมีหน้าที่จะต้องรายงานเหตุการณ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โดยกฎหมายลูกฉบับนี้ได้กำหนดหน้าที่ที่ผู้ควบคุมข้อมูลต้องกระทำเมื่อเกิดเหตุละเมิด ดังนี้
    • ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว
    • ดำเนินมาตรการป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขทันทีหากมีความเสี่ยงสูง
    • แจ้งสำนักงานฯ ภายใน 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุ เว้นแต่ไม่มีความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล สามารถแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรหรือผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบุลักษณะการละเมิด ข้อมูลติดต่อ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และมาตรการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาการละเมิด
    • แจ้งเจ้าของข้อมูลโดยเร็วหากมีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบสิทธิและเสรีภาพ ให้ระบุลักษณะการละเมิด ข้อมูลติดต่อ ผลกระทบที่อาจเกิด และแนวทางเยียวยา
    • ดำเนินมาตรการแก้ไขและป้องกันการเกิดซ้ำ
 
แม้หน่วยงานรัฐจะได้รับการยกเว้นการทำตามกฎหมาย PDPA ในหลาย ๆ ด้าน แต่เพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานรัฐมีประสิทธิภาพและคำนึงถึงเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่อาจได้รับผลกระทบในวงกว้างเป็นสำคัญ กฎหมายลำดับรองฉบับนี้จึงออกมากำหนดให้หน่วยงานรัฐ (85 แห่ง) จำเป็นต้องจัดตั้ง DPO ประจำ โดยจะสังเกตได้ว่าเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลส่วนบุคคลไหลเวียนเป็นจำนวนมาก หรือเกี่ยวกับด้านการเงิน ข้อมูลอ่อนไหว และข้อมูลผู้เยาว์ สามารถอ่านรายละเอียดรายชื่อหน่วยงานได้ในประกาศฯ
 
คุณจำเป็นต้องมี DPO หรือไม่? องค์กรจำเป็นต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer: DPO) หากเข้าข่ายตามเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งภายใต้ประกาศฉบับนี้ ดังนี้
    1. ดำเนินกิจกรรมที่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลหรือระบบอย่างสม่ำเสมอ
    2. มีข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก โดยพิจารณาตามเกณฑ์ 
      1. จำนวนเจ้าของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
      2. ปริมาณ ประเภท หรือลักษณะของข้อมูล
      3. ระยะเวลาหรือความคงอยู่ของการเก็บข้อมูล
      4. ขอบเขตการใช้ข้อมูลขององค์กร
กรณีที่ถือว่ามีกิจกรรมที่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลหรือระบบอย่างสม่ำเสมอ:
    • ติดตาม เฝ้าสังเกต วิเคราะห์ หรือทำนายพฤติกรรมของบุคคล
    • เก็บข้อมูลการใช้งานบัตรสมาชิกหรือบัตรโดยสารสาธารณะ
    • ตรวจสอบสถานะหรือประวัติลูกค้าก่อนทำสัญญา
    • ยิงโฆษณาตามพฤติกรรม
    • เก็บข้อมูลโดยผู้ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือโทรคมนาคม
    • เฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัยตามสถานที่ต่างๆ
กรณีที่ถือว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก:
    • มีจำนวนเจ้าของข้อมูลตั้งแต่ 100,000 รายขึ้นไป
    • ยิงโฆษณาผ่านโปรแกรมค้นหาหรือสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานกว้างขวาง
    • เก็บข้อมูลลูกค้าโดยบริษัทประกันชีวิต ประกันวินาศภัย หรือสถาบันการเงิน
    • เก็บข้อมูลโดยผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม
*ข้อกำหนดอื่น ๆ ในการแต่งตั้ง DPO:
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอาจปฏิบัติหน้าที่อื่นได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และผู้ควบคุมหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องรับรองกับสคส.ว่าเป็นเช่นนั้นจริง
 
หลายองค์กรที่ได้รับการยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกากำหนดลักษณะ กิจการ หรือหน่วยงาน ที่ได้รับการยกเว้นไม่ให้นำพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ บางส่วนมาใช้บังคับ พ.ศ. ๒๕๖๖ แม้จะไม่ต้องทำตามกฎหมาย PDPA ในบางส่วน แต่ยังคงจำเป็นต้องมีมาตรการและมาตรฐานขั้นต่ำในรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลเช่นเดียวกับองค์กรอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการยกเว้น ประกอบด้วย
มาตรการหลัก:
    • ต้องมีทั้งมาตรการเชิงองค์กร เชิงเทคนิค และเชิงกายภาพ
    • คำนึงถึงการระบุความเสี่ยง การป้องกัน การตรวจสอบ การเผชิญเหตุ รวมถึงการฟื้นฟู
    • มีการรักษาความลับ, ความถูกต้องครบถ้วน และความพร้อมใช้งานของข้อมูล (Confidentiality, Integrity, and Availability)
    • ครอบคลุมทุกส่วนประกอบของระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง
การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล:
    • มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ร้องขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
    • มีการอนุญาต/กำหนดสิทธิการเข้าถึงและใช้งานตามความเหมาะสม
    • มีการบริหารจัดการสิทธิผู้ใช้งานที่ดี
    • มีการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ใช้งาน
    • มีระบบสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
การสร้างความตระหนักรู้: มีการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และแจ้งนโยบายแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง
การทบทวนมาตรการ: ต้องทบทวนเมื่อจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
ข้อกำหนดสำหรับผู้ประมวลผลข้อมูล: ผู้ควบคุมข้อมูลต้องกำหนดให้ผู้ประมวลผลมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม และต้องแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลให้ผู้ควบคุมข้อมูลทราบ
ความสัมพันธ์กับกฎหมายอื่น: หากมีกฎหมายอื่นกำหนดมาตรการไว้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนั้นและต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำในประกาศนี้
 
กฎหมาย PDPA อนุญาตให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อใช้ในการบันทึกเหตุการณ์ เรื่องราว เอกสาร หลักฐาน หรือข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์สาธารณะ (รวมถึงจดหมายเหตุตามกฎหมายว่าด้วยจดหมายเหตุแห่งชาติ) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมดังกล่าว จะต้องจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
    • มาตรการเชิงองค์กร มาตรการเชิงเทคนิค และมาตรการเชิงกายภาพเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น
    • มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย
อาจพิจารณาใช้การทำข้อมูลให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Anonymization) การแฝงข้อมูล (Pseudonymization) การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ประกอบตามความเหมาะสมและระดับความเสี่ยงด้วย
 
การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่ละเมิด PDPA สามารถกระทำได้หากประเทศปลายทางในการส่งหรือโอนข้อมูลจะมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ ยกเว้น:
    • ปฏิบัติตามความจำเป็นตามกฎหมาย
    • ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
    • ปฏิบัติตามสัญญาที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญา
    • ปฏิบัติตามสัญญาระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลกับบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
    • ป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือบุคคลอื่น เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถให้ความยินยอมได้
    • ดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ประเทศปลายทางในการส่งหรือโอนข้อมูลที่มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอ พิจารณาจาก 1) มีมาตรการหรือกลไกทางกฎหมาย (มาตรการ) เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย 2) มีหน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่และอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ประเทศปลายทางจะได้รับการพิจารณามาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลว่ามีความสอดคล้องและเพียงพอผ่านคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยสำนักงานฯ จะกำหนดรายชื่อประเทศ/องค์การระหว่างประเทศที่มีมาตรฐานเพียงพอในการเป็นปลายทางรับข้อมูลส่วนบุคคลจากไทย ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเสนอให้มีการวินิจฉัยมาตรฐานของประเทศปลายทางที่ต้องการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปเพิ่มเติมได้
 
การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศสามารถกระทำได้หากผู้ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลและผู้รับข้อมูลส่วนบุคคล ณ ต่างประเทศอยู่ในเครือเดียวกัน และได้จัดทำนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน (Binding Corporate Rules) แล้ว
Binding Corporate Rules จะต้อง:
    • ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
    • มีผลและสภาพบังคับทางกฎหมายกับทุกบุคคลหรือนิติบุคคลในเครือกิจการ รวมถึงผู้ประมวลผลข้อมูล ผู้ส่งหรือโอนข้อมูล และผู้รับข้อมูล
    • สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมีผลผูกพันต่อบุคลากร พนักงาน ลูกจ้าง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
    • มีข้อกำหนดที่รับรองการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของเจ้าของข้อมูล และการร้องเรียน สำหรับข้อมูลที่ถูกส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ
    • มีมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลและรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่สอดคล้องกับกฎหมาย โดยมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
ในกรณีที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอของประเทศปลายทาง หรือยังไม่มีนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกันตามข้างต้น ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอาจส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศได้ โดยจัดให้มีมาตรการคุ้มครองที่เหมาะสม (Appropriate Safeguards) แบ่งออกหลายรูปแบบ คือ
    • ข้อสัญญาในการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ
    • การรับรอง (Certification) เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับ
    • ข้อกำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในตราสารหรือข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายและสามารถใช้บังคับได้ระหว่างหน่วยงานของรัฐของประเทศไทยกับหน่วยงานของรัฐของประเทศอื่น
 
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถกระทำได้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและสถิติ โดยจะต้องจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
    • มีมาตรการเชิงองค์กร มาตรการเชิงเทคนิค และมาตรการเชิงกายภาพเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงหลักทางวิชาการประกอบ
    • มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลขั้นต่ำเป็นอย่างน้อย ครอบคลุมทุกขั้นตอนการศึกษาวิจัย
    • คำนึงถึงมาตรฐานทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ยอมรับ
อาจพิจารณาใช้การทำข้อมูลให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Anonymization) การแฝงข้อมูล (Pseudonymization) การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ประกอบตามความเหมาะสมและระดับความเสี่ยงด้วย
ส่วนการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลประเภทพิเศษ (อ่อนไหว) เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันนี้ นอกเหนือจากการจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเช่นเดียวกันกับข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปข้างต้นแล้ว ต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นในการเก็บข้อมูลประเภทนี้เป็นกรณีพิเศษ และจัดให้มีคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยให้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติหรือรับรอง
ข้อกำหนดอื่น ๆ เกี่ยวกับการขอความยินยอม
    • แม้ไม่ต้องขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่ต้องขอความยินยอมในการเข้าร่วมการวิจัย
    • ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ รายละเอียด และสิทธิของผู้เข้าร่วมการวิจัย
    • มีข้อจำกัดในการปกปิดข้อมูลหรือหลอกลวงผู้เข้าร่วมการวิจัย
 
หลักเกณฑ์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมที่ HR ทุกคนต้องรู้ ประมวลผลต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย PDPA หากไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง (องค์กรธุรกิจทั่วไป) จะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลอาชญากรรมของบุคคลได้ภายใต้วัตถุประสงค์
    • การพิจารณาบุคคลเข้าทำงาน
    • การตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของบุคคล
    • การพิจารณาความเหมาะสมของบุคคลที่จะให้ดำรงตำแหน่ง
    • การตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามในการอนุญาต ออกใบอนุญาต อนุมัติ จดทะเบียน รับแจ้ง รับจดแจ้ง ออกอาชญาบัตร รับรอง เห็นชอบ ให้ความเห็น พิจารณา พิจารณาอุทธรณ์ ร้องทุกข์ หรือร้องเรียน
    • การดำเนินการ เยียวยา ให้ได้รับสวัสดิการ หรือให้บริการอื่นแก่บุคคล
โดยภายหลังใช้งานเสร็จตามวัตถุประสงค์ข้างต้น องค์กรสามารถเก็บประวัติอาชญากรรมไว้ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน เว้นแต่จะได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างอื่น หรือมีข้อยกเว้นอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
  • หลักเกณฑ์ในการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ พ.ศ. 2567 (วันที่ประกาศ 13 สิงหาคม 2567)
    เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลฯ ของตนกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (PDPA มาตรา 33) โดยองค์กรผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องทำตามภายใต้กฎเกณฑ์ ดังนี้
    • ดำเนินการลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลเป็น anonymous โดยไม่ชักช้า ภายใน 90 วันนับตั้งแต่ได้รับคำขอ
    • การทำตามคำขอดังกล่าวครอบคลุมถึงข้อมูลสำเนา/สำรองด้วย และต้องทำให้แน่ใจว่าไม่สามารถกู้คืนหรือทำให้ข้อมูลนั้นสามารถกลับมาระบุตัวตนได้อีก
    • กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสม ทั้งเชิงองค์กร กายภาพ และเทคนิค
    • การทำให้ข้อมูลเป็นนิรนามจะต้องลบข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นตัวระบุทางตรงและทำให้แน่ใจว่าไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทางอ้อมด้วย
    • จัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อพ้นระยะเวลาการเก็บรักษา หรือหมดความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมแล้ว
    • เมื่อลบทำลายข้อมูลหรือทำให้ข้อมูลเป็นนิรนามสำเร็จแล้ว จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบด้วย เว้นแต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงรายละเอียดนั้นอยู่แล้ว
กฎหมายลูก pdpa
กฎหมายลำดับรอง (กฎหมายลูก) ของ PDPA ที่องค์กรต้องรู้
 
จะเห็นได้ว่ามีการให้คำนิยาม การปฏิบัติ และการขยายความตัวมาตราของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในหลาย ๆ จุด ซึ่งในอนาคตยังมีโอกาสที่กฎหมายลำดับรองหรือกฎหมายลูกจะถูกประกาศออกมาอีก องค์กรมีความจำเป็นต้องอัปเดตความรู้ ความเข้าใจ แนวทางการทำงานหรือการปฏิบัติด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรให้สอดคล้องกับกฎหมายฯ ทั้งหมด
PDPA Thailand  จึงขอแนะนำให้จัดอบรม PDPA เพื่ออัปเดตกฎหมายลูก และอัปเดตองค์ความรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคลากรขององค์กร ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีพนักงานเข้าออกองค์กรเป็นประจำทุกปี
 
อบรม PDPA & DPO Inhouse Training กับ PDPA Thailand > คลิก
pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม