PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

การยืนยันตัวตนด้วยวิธีสแกนใบหน้า สแกนม่านตา หรือลายนิ้วมือในปัจจุบันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจควรจะทราบด้วยว่า ไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) คือ ข้อมูลทางสรีรวิทยาที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะทางกายภาพของบุคคลนั้นๆ เป็น ‘ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว’ (Sensitive Data) ซึ่งกฎหมาย PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 บัญญัติไว้ว่า ห้ามไม่ให้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และการเก็บใช้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นและมาตรการป้องการการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมกับความเสี่ยง    

ข้อมูล Biometrics คืออะไร และใช้ทำอะไรได้บ้าง

ไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) ภาษาไทยบัญญัติคำว่า ข้อมูลชีวภาพ หรือบางแห่งเรียกข้อมูลชีวมาตรก็คือข้อมูลเฉพาะที่สามารถยืนยันตัวบุคคลนั้น เป็นลักษณะพิเศษที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะใบหน้า ม่านตา ลายนิ้วมือ แต่ยังรวมไปถึง เสียงพูด แผลเป็น ดีเอ็นเอ และลายเซ็น

ขณะที่บัญญัติในกฎหมาย PDPA ระบุถึงคำว่า ข้อมูลชีวภาพ หมายถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้เทคนิคหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการนำลักษณะเด่นทางกายภาพ หรือทางพฤติกรรมของบุคคลมาใช้ทำให้สามารถยืนยันตัวตนของบุคคลนั้นที่ไม่เหมือนกับบุคคลอื่นได้ เช่น ข้อมูลภาพจำลองใบหน้า ข้อมูลจำลองม่านตา หรือข้อมูลจำลองลายนิ้วมือ

โดยปัจจุบันจะเห็นว่า สถานประกอบการและองค์กรต่างๆ ได้นำเทคโนโลยีชีวภาพ บวกกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสานกับความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ด้านโครงสร้างและสรีระวิทยาเพื่อสร้าง ‘Username’ และ ‘Password’ เฉพาะบุคคล โดยจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีประโยชน์ในด้านการยืนยันตัวตนด้วยการเข้ารหัสที่แม่นยำและปลอดภัยสูง แถมยังสามารถป้องกันการลืมรหัสผ่านที่เป็นตัวเลข แถบแม่เหล็ก หรือรหัสผ่านรูปแบบอื่นๆ ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานราชการและองค์กรธุรกิจต่างๆ จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น

  • ตรวจสอบบุคคลเข้าเมืองภายในสนามบินและเฝ้าระวังบุคคลอันตราย เช่น โครงสร้างใบหน้า ลักษณะการเดิน หรือภาพสแกนโครงสร้างร่างกาย
  • กิจกรรมการขอวีซ่าเดินทาง หนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวประชาชน เช่น มีการเก็บภาพถ่ายสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ สีผม สีตา หรือลักษณะพิเศษเช่น ไฝ ปาน แผลเป็น
  • ยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมการเงิน เช่น ธนาคารหลายแห่งมีระบบการจดจำและสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือการเปิดบัญชีธนาคารมีการเก็บลายเซ็น
  • ยืนยันตัวตนเพื่อรับสินค้าหรือบริการ เช่น การสแกนใบหน้าภายในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ช้อปปิ้งมอลล์
  • ตรวจสอบบุคคลในการเข้าออกสถานที่ เช่น สแกนลายนิ้วมือ หรือม่านตาในการลงเวลาเข้าออกที่ทำงาน โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่เฉพาะที่ต้องควบคุมการเข้าออก เช่น ภายในคลังสินค้า ห้องบัญชี หรือห้องควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงาน
  • จัดทำระบบสมาชิกหรือการลงทะเบียน เช่น การลงทะเบียนด้วยการสแกนใบหน้าหรือลายนิ้วมือเพื่อใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ
  • การสั่งการฟังก์ชันของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น การจดจำเสียงเพื่อสั่งการอุปกรณ์สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์สมาร์ทโฮม
  • ตรวจสอบเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น การตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันความเป็นทายาท
  • กิจกรรมด้านการขายและการตลาด เช่น การใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะใกล้ร่วมกับเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพื่อการประมวลผล หรือวิเคราะห์ความต้องการเฉพาะของลูกค้า
  • กิจกรรมเพื่อความบันเทิง เช่น วงการภาพยนตร์มีการสแกนลักษณะสรีระของบุคคลเพื่อสร้างแบบจำลองสามมิติเสมือนจริง
  • ฯลฯ

จะเห็นว่าข้อมูลไบโอเมตริกซ์ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวตามบัญญัติของกฎหมาย PDPA ได้ถูกนำไปใช้ในกิจการต่างๆ มากมาย เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้หลายกิจกรรมนั้นง่าย สะดวกรวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง ทว่า แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะ หากตกไปอยู่ในการครอบครองของบุคคลอื่นย่อมสามารถแก้ไขได้เหมือนรหัสผ่าน ดังนั้นหากเกิดการรั่วไหลก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจของบุคคลนั้นได้

ด้วยเหตุนี้กฎหมายจึงขีดเส้นใต้ไว้ว่า การเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลโดยชัดแจ้งรวมถึงบอกวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บ ระยะเวลาจัดเก็บและทำลาย มิใช่เพียงแค่ แจ้งให้ทราบ แต่ควร เก็บเท่าที่จำเป็น เท่านั้น

รวมทั้ง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถถอนความยินยอม ขอให้ระงับการใช้ แก้ไข หรือทำงายข้อมูลได้โดยง่ายตามสิทธิของกฎหมายเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีข้อแม้หรือไม่มีเงื่อนไข เว้นแต่การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีความจำเป็น หรือปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น

  • ส่งผลต่อเพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูล
  • กฎหมายอื่นๆ อนุญาตให้ทำได้ หรือเป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย
  • เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญา หรือดำเนินการตามคำขอของบุคคลเจ้าของข้อมูล
  • เป็นประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ เช่น การป้องกันด้านสุขภาพจากโรคติดต่อ การป้องกันความปลอดภัยของหน่วยงานราชการความมั่นคงของชาติ
  • เพื่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ

หน้าที่ของ ‘ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล’ ที่เก็บข้อมูลชีวภาพต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

ทั้งนี้จะเห็นว่า สำหรับองค์กรธุรกิจสาระสำคัญในการจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวได้ก็ต่อเมื่อ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ความยินยอม แต่กระนั้น ผู้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลจะอยู่ในสถานะเป็น ‘ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ที่หมายความว่า บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ตามข้อบัญญัติขอกฎหมาย PDPA

โดยในการ ขอความยินยอม’ จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องแจ้ง วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไปด้วย และต้องแยกส่วนออกจากข้อความอื่นอย่างชัดเจน มีแบบหรือข้อความที่เข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจได้ รวมทั้ง ใช้ภาษาที่อ่านง่าย และไม่เป็นการหลอกลวงหรือทำให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเข้าใจผิดในวัตถุประสงค์ ดังกล่าว

และอย่างที่ระบุในก่อนหน้านี้ว่า ข้อมูลชีวภาพ หรือไบโอเมตริกซ์ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว ซึ่งหน่วยงานที่มีสถานะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการจัดเก็บหรือใช้ข้อมูลชีวภาพ จึงมีบทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนี้

1.มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมกับความเสี่ยง หรือทันสมัยตามเทคโนโลยี

2.มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ เพื่อป้องกันการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบ

3.มีระบบตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล โดยในอนาคตคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอาจจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลได้

4.หากเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ต้องแจ้งเหตุให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลภายใน 72 ชม. นับแต่เมื่อทราบเหตุ

5.จัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล โดยต้องจดบันทึกรายการเกี่ยวกับข้อมูลที่เก็บรวบรวม วัตถุประสงค์ ข้อมูลของผู้ควบคุมข้อมูลฯ ระยะเวลาเก็บรักษา สิทธิและวิธีการเข้าถึงข้อมูล เงื่อนไขของผู้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูล คำร้องหรือเหตุการณ์ละเมิด

6.จัดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ DPO (Data Protection Officer) ข้อนี้อาจจะต้องตีความตามกฎหมายที่ระบุว่า ผู้ควบคุมข้อมูลฯ ที่จำเป็นต้องแต่งตั้ง DPO คือ หน่วยงานรัฐ องค์กรสาธารณะ หรือธุรกิจที่มีการเก็บ รวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก

(‘จำนวนมาก’ ในที่นี้อ้างอิงจากกฎหมาย PDPA ที่ระบุว่า บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีการจัดเก็บข้อมูลบุคคลทั่วไปที่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูล 50,000 ราย หรือมีข้อมูลอ่อนไหวของเจ้าของข้อมูล 5,000) รวมถึงองค์กรธุรกิจที่มีการเก็บ รวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ‘อย่างต่อเนื่อง’ หรือ ‘มีความเสี่ยง’ ที่อาจจะก่อให้เกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม กฎหมาย PDPA ยังเป็นกฎหมายที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ ปรับรูปแบบการดำเนินการด้านข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด และมีรายละเอียดบางมาตราที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์และตีความตามรูปแบบการการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ

 

pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม