ไขข้อสงสัย? สถานพยาบาล หน่วยงานสาธารณะสุข เปิดเผย ‘เวชระเบียน’ ผู้ป่วยโควิด-19 ผิดกฎหมาย PDPA หรือไม่ ?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

ไขข้อสงสัย? สถานพยาบาล หน่วยงานสาธารณะสุข เปิดเผย ‘เวชระเบียน’ ผู้ป่วยโควิด-19 ผิดกฎหมาย PDPA หรือไม่ ?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

เวชระเบียน เอกสารทางการแพทย์ทุกประเภทที่ใช้บันทึกและเก็บรวบรวมประวัติของผู้ป่วย อาทิ ทั้งประวัติการรักษาที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน การแพ้ยา และประวัติการใช้ยา ถือเป็น ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Data) การจะเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อ ได้รับความยินยอม จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ กฎหมาย PDPA

ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า เวชระเบียน ถือเป็นข้อมูลสุขภาพ และเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว หากบุคคล หรือนิติบุคคลนำไปเปิดเผยอาจนำไปสู่การละเมิดร้ายแรงทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ เช่น กรณีตัวอย่างการเปิดเผยไทน์ไลน์ หรือประวัติการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ สถานพยาบาล โรงงานพยาบาล หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณะสุขต่างๆ หากจะนำข้อมูลผู้ป่วยไปเก็บรวบรวม หรือประมวลผลจะต้องดำเนินการตาม ‘ฐานความยินยอม’ ของเจ้าของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลสุขภาพไม่อาจจะใช้ฐานสัญญาแบบทั่วไปได้

ขณะที่ฐานกฎหมาย และฐานประโยชน์โดยชอบในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ และฐานของประโยชน์สาธารณะ ก็ยังดู ก้ำกึ่ง หากการดำเนินการเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยนำไปสู่การละเมิด ทั้งด้านร่างกาย อาทิ การเลือกปฏิบัติ หรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และด้านจิตใจ เช่น สร้างความเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือการกระทำใดๆ ที่ส่งผลกระทบกระทบต่อเจ้าของข้อมูล อันเป็นผลมาจากการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพ หรือเวชระเบียนของผู้ป่วย และสถานพยาบาล หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณะสุข อาจจะถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าวได้เช่นกัน

โดยเรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ อาทิ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ที่บังคับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่บังคับใช้ในสหภาพยุโรป หรือ GDPR (General Data Protection Regulation) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561

 เนื่องจากพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ เป็นกฎหมายใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล และยังถือเป็นกฎเกณฑ์ใหม่มากๆ สำหรับทุกองค์กร ขณะเดียวกันข้อกฎหมายในบางมาตรา ยังต้องอาศัยการวิเคราะห์ และตีความ เนื่องจากยังต้องรอการออก กฎหมายลูก เพื่อบัญญัติข้อบังคับตามกฎหมายให้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้น ดังเช่นกรณีที่ระบุไว้ในข้างต้น ซึ่งการดำเนินการบางอย่าง สุ่มเสี่ยง ต่อการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมได้

อย่างไรก็ตาม ข่าวดี คือ ล่าสุดได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติควบคุมโรค จากการประกอบอาชีพ และโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2565 ซึ่งออกมาเพื่อ กำจัดจุดอ่อน หรือความสุ่มเสี่ยงในการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย และผู้ติดเชื้อโรคติดต่อร้ายแรงอย่าเช่น โควิด-19 โดยเฉพาะ

โดยประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าวได้มีการกำหนดให้มีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล จากการเฝ้าระวัง การสอบสวนโรค การแจ้ง หรือการรายงาน ตาม พ.ร.บ. ควบคุมโรคฯ เพื่อให้การเก็บหรือประมวลผลข้อมวลส่วนบุคคลจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมที่มีความ จำเป็น เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือสาธารณชนทั่วไป ทำให้สามารถเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยได้ใน 2 กรณี ดังนี้

 

1. ขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

ต้องทำโดยชัดแจ้งเป็นหนังสือหรือทำโดยผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่โดยสภาพไม่อาจขอความยินยอมด้วยวิธีการดังกล่าวได้ โดยรายละเอียดส่วนนี้ก็ไม่แตกต่างจากการขอความยินยอมตามกฎหมาย PDPA แต่จากประกาศกระทรวงฯ ได้มีส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ ให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่สามารถขอความยินยอมด้วยวาจา หรือการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นก็ได้ ถ้าเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ร้องขอ และการร้องขอต้องกระทำภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ความยินยอม ผู้ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตาม พ.ร.บ. ต้องยืนยันคำขอนั้นเป็นหนังสือ ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยในหนังสือขอความยินยอมจะต้องประกอบด้วย

    • วัน เดือน และปีที่ทำคำขอ
    • ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะขอเปิดเผย และวิธีการในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    • วัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    • ข้อกฎหมายที่อ้างอิง
    • ชื่อ และลายมือชื่อของผู้ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.ที่ทำคำขอ

ทั้งนี้หากเจ้าของข้อมูลเป็นผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองที่มีอำนาจกระทำแทน รวมทั้งกรณีบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ จะต้องขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ที่มีอำนาจกระทำแทน หรือผู้สืบสันดานซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว

 

2. ไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

หากการดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามกฎหมาย อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยอาศัย ฐานกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ ทำได้โดยมีเงื่อนไข ดังนี้

    • เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอาศัยอำนาจเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบ

เรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน

    • เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อการป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ
    • เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพอนามัยของประชาชน
    • เพื่อประโยชน์สาธารณะในการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรค
    • มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยเนิ่นนานไป หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายของประชาชน หรือก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อความปลอดภัยสาธารณะหรือประโยชน์สาธารณะ

โดยประกาศกระทรวงฯ ฉบับล่าสุดนี้ ให้อำนาจแก่ อธิบดีกรมควบคุมโรครักษาการตามประกาศนี้ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการ ให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด และให้คำสั่งหรือข้อวินิจฉัย ของอธิบดีกรมควบคุมโรคถือเป็นที่สุด

ทั้งนี้ สิ่งที่ควรทราบอีกประการ คือประกาศดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อเอกชนที่ดำเนินธุรกิจด้านการแพทย์ และสถานพยาบาล ดังนั้น กิจกรรมทางการค้า การบริการที่เป็นลักษณะหารายได้หรือแบ่งปันผลกำไร จึงไม่เข้าข่ายความจำเป็น หรือประโยชน์สาธารณะ สถานพยาบาลและรักษาของเอกชนจึงไม่สามารถนำประกาศกระทรวงฯ มาเป็นฐานโดยชอบธรรมเพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลผู้ป่วยโดยไม่ได้รับความยินยอมได้ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามคำขอให้ดำเนินการโดยหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น

.

.

อ้างอิง : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/E/063/T_0001.PDF?fbclid=IwAR0RXbCDkdSK_WuMImrlEV1ltIR0sYRkcNCz4OQIKKnQ3y3d4dJIcIlXMhU

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ