PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand
ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์ในการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ พ.ศ. 2567 ตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ส่งผลกระทบต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ในหลาย ๆ สถานการณ์ 
 
หลักพิจารณาเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลบทำลาย หรือทำให้เป็นข้อมูลนิรนาม หรือทำเป็นข้อมูลแฝงในสถานการณ์ต่าง ๆ มีดังนี้ 
  1. ความจำเป็นในการระบุตัวบุคคล องค์กรต้องพิจารณาว่าวัตถุประสงค์นั้นจำเป็นต้องระบุตัวบุคคลหรือไม่ และสามารถใช้ข้อมูลแฝงหรือข้อมูลนิรนามแทนได้หรือไม่
  2. ความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพ องค์กรต้องประเมินระดับความอ่อนไหวของข้อมูล และโอกาสในการรั่วไหลหรือการใช้ข้อมูลในทางที่ผิด
  3. ภาระในการดำเนินการ การดำเนินการเรื่องนี้ขององค์กรจะต้องคำนึงถึงต้นทุนและทรัพยากรที่ต้องใช้ ควบคู่กับผลกระทบต่อการดำเนินงาน
  4. การปฏิบัติตามกฎหมายอื่น องค์กรต้องพิจารณาข้อกำหนดเรื่องการเก็บ ประมวลผล ใช้ รักษาข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการโอนข้อมูล ตลอดจนสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการระบุในกฎหมายอื่นให้ครอบคลุม
สถานการณ์ที่องค์กรจะได้รับผลกระทบจากประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์ในการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ พ.ศ. 2567 สามารถแบ่งได้เป็น 9 สถานการณ์ซึ่งองค์กรสามารถจัดการได้ ดังนี้
 
สถานการณ์ที่ 1 เมื่อมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลครั้งแรก
1. ควรทำให้เป็นข้อมูลแฝงตั้งแต่แรก สำหรับข้อมูลที่
    • ต้องใช้งานต่อเนื่อง
    • ต้องสามารถเชื่อมโยงกลับได้
    • มีความเสี่ยงต่ำ
2. ควรทำเป็นข้อมูลนิรนามตั้งแต่แรก สำหรับข้อมูลที่
    • จะใช้เพื่อการวิเคราะห์หรือวิจัย
    • ไม่จำเป็นต้องระบุตัวบุคคล
    • มีความเสี่ยงสูง
3. ควรเก็บเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและรอลบเมื่อหมดวัตถุประสงค์ เมื่อ
    • จำเป็นต้องระบุตัวบุคคลชัดเจน
    • มีข้อกำหนดทางกฎหมายให้เก็บ
    • มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
    • มีระยะเวลาที่กำหนดในวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
 
สถานการณ์ที่ 2 เมื่อองค์กรเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง
1. ควรย้อนกลับไปทำเป็นข้อมูลแฝงตั้งแต่แรก สำหรับ
    • ข้อมูลที่ใช้ในระบบปฏิบัติการ
    • ข้อมูลที่ต้องเชื่อมโยงระหว่างระบบ
    • ข้อมูลที่ต้องการความต่อเนื่อง
2. ควรย้อนกลับไปทำการแยกส่วนการจัดเก็บ โดย
    • เก็บข้อมูลระบุตัวตนแยกจากข้อมูลทั่วไป
    • ใช้ระบบเชื่อมโยงที่ปลอดภัย
    • กำหนดสิทธิการเข้าถึงที่เข้มงวด
 
สถานการณ์ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ 
1. ควรทำเป็นข้อมูลนิรนามสำหรับวัตถุประสงค์ใหม่ เมื่อ
    • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับข้อมูลเดิม
    • ใช้เพื่อการวิเคราะห์หรือวิจัย
    • มีความเสี่ยงในการใช้ข้อมูล
2. ควรทำเป็นข้อมูลแฝง (แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่หรือขอความยินยอมใหม่) เมื่อ
    • ต้องการเชื่อมโยงกับข้อมูลเดิม
    • มีความจำเป็นในการระบุตัวบุคคล
    • สามารถติดต่อเจ้าของข้อมูลได้
3. ควรเก็บเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและรอลบเมื่อหมดวัตถุประสงค์ (แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่หรือขอความยินยอมใหม่) เมื่อ
    • ต้องการเชื่อมโยงกับข้อมูลเดิม
    • จำเป็นต้องระบุตัวบุคคลชัดเจน
    • มีข้อกำหนดทางกฎหมายให้เก็บ
    • มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
    • มีระยะเวลาที่กำหนดในวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
    • สามารถติดต่อเจ้าของข้อมูลได้
 
สถานการณ์ที่ 4 การจัดการข้อมูลเดิมและวัตถุประสงค์เดิม แต่ยังไม่หมดวัตถุประสงค์
1. ควรทำการประเมินความจำเป็น โดย
    • ตรวจสอบวัตถุประสงค์ที่ยังใช้อยู่
    • ประเมินความเสี่ยงของข้อมูล
    • พิจารณาภาระในการดำเนินการ
2. ควรทำเป็นข้อมูลแฝงสำหรับข้อมูลที่ยังใช้งาน โดย
    • เริ่มจากข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูง
    • ทยอยดำเนินการตามความเหมาะสม
    • รักษาความต่อเนื่องของการใช้งาน
 
สถานการณ์ที่ 5 การควบรวมกิจการหรือการโอนธุรกิจ
การซื้อขายหรือควบรวมกิจการ การโอนฐานข้อมูลลูกค้า การรวมระบบข้อมูลระหว่างองค์กร
1. การโอนถ่ายความยินยอม
    • ตรวจสอบความยินยอมเดิม
    • พิจารณาความจำเป็นในการขอความยินยอมใหม่
    • ประเมินผลกระทบต่อสิทธิของเจ้าของข้อมูล
2. การจัดการข้อมูลซ้ำซ้อน
    • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง
    • กำจัดข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
    • รักษาคุณภาพข้อมูล
3. แนวทางการตัดสินใจ
    • ทำข้อมูลเป็นแบบนิรนามก่อนการควบรวม
    • ใช้ข้อมูลแฝงระหว่างการรวมระบบ
    • ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นหลังการควบรวม
 
สถานการณ์ที่ 6 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
การย้ายระบบขึ้น Cloud การเปลี่ยนระบบหรือแพลตฟอร์ม หรือการปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล
1. การรักษาความปลอดภัยระหว่างการเปลี่ยนผ่าน
    • เข้ารหัสข้อมูลระหว่างการโอนย้าย
    • ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
    • จัดการสิทธิการเข้าถึง
2. การจัดการข้อมูลในระบบเก่า
    • ทำลายข้อมูลในระบบเดิม
    • เก็บข้อมูลสำรอง
    • ตรวจสอบการลบที่สมบูรณ์
3. แนวทางการตัดสินใจ
    • ทำข้อมูลเป็นแบบนิรนามก่อนการย้ายระบบ
    • ใช้ข้อมูลแฝงในระบบใหม่
    • ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นจากระบบเก่า
 
สถานการณ์ที่ 7 การละเมิดข้อมูลหรือภัยคุกคาม
การโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล หรือการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
1. การตอบสนองฉุกเฉิน
    • ระงับการรั่วไหล
    • ประเมินผลกระทบ
    • แจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้อง
2. การป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
    • ทำข้อมูลเป็นแบบนิรนามฉุกเฉิน
    • ระงับการเข้าถึงข้อมูล
    • เปลี่ยนระบบการเข้ารหัส
3. แนวทางการตัดสินใจ
    • ทำข้อมูลที่รั่วไหลให้เป็นแบบนิรนามทันที
    • ใช้ข้อมูลแฝงสำหรับข้อมูลที่ยังต้องใช้งาน
    • ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นทั้งหมด
 
สถานการณ์ที่ 8 การวิจัยและพัฒนา
การใช้ข้อมูลเพื่อวิจัยผลิตภัณฑ์ การพัฒนาบริการใหม่ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
1. การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัย
    • ความจำเป็นในการระบุตัวบุคคล
    • ขอบเขตการใช้ข้อมูล
    • ป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
2. การแบ่งปันข้อมูลกับนักวิจัย
    • ทำข้อมูลนิรนามก่อนแบ่งปัน
    • ควบคุมการใช้ข้อมูล
    • ติดตามผลการใช้งาน
3. แนวทางการตัดสินใจ
    • ทำข้อมูลเป็นแบบนิรนามตั้งแต่เริ่มต้น
    • ใช้ข้อมูลแฝงเมื่อจำเป็นต้องติดตามผล
    • ลบข้อมูลเมื่อเสร็จสิ้นการวิจัย
 
สถานการณ์ที่ 9 การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดทางกฎหมาย 
การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย PDPA การออกประกาศหรือแนวปฏิบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานอุตสาหกรรม
1. การปรับตัวตามข้อกำหนดใหม่
    • ประเมินผลกระทบ
    • ปรับปรุงนโยบายและกระบวนการ
    • สื่อสารการเปลี่ยนแปลง
2. การจัดการข้อมูลตามข้อกำหนดใหม่
    • ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บ
    • เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการเก็บรักษา
    • ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย
3. แนวทางการตัดสินใจ
    • ทำข้อมูลเป็นแบบนิรนามตามมาตรฐานใหม่
    • ปรับปรุงวิธีการทำข้อมูลแฝง
    • ทบทวนเกณฑ์การลบข้อมูล
 
ข้อเสนอแนะในการเตรียมการ
เพื่อดำเนินการตามประกาศกฎหมายลำดับรอง PDPA เรื่อง ลบหรือทำลาย ทำเป็นข้อมูลนิรนาม หรือทำเป็นข้อมูลแฝง สำหรับองค์กร
1. การจัดทำแผนการดำเนินการ
    • แยกประเภทข้อมูลส่วนบุคคล ออกจากข้อมูลอื่น ๆ
    • กำหนดลำดับความสำคัญของข้อมูลข้อมูล
    • วางแผนทรัพยากรที่ต้องใช้
    • กำหนดระยะเวลาดำเนินการ
2. การบริหารความเสี่ยง
    • ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจของชุดข้อมูลส่วนบุคคล
    • วิเคราะห์ความคุ้มค่า
    • เตรียมแผนรองรับเหตุฉุกเฉิน
3. การสื่อสารและฝึกอบรม
    • แจ้งนโยบายและแนวปฏิบัติ
    • ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้อง
    • ติดตามและประเมินผล
4. จัดทำแผนรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ
    • แผนการตอบสนองฉุกเฉิน
    • แผนการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
    • แผนการบริหารความเสี่ยง
5. พัฒนาระบบและกระบวนการที่ยืดหยุ่น
    • ระบบการจัดการข้อมูลที่ปรับเปลี่ยนได้
    • กระบวนการที่รองรับการเปลี่ยนแปลง
    • เครื่องมือที่สามารถปรับปรุงได้
6. เตรียมทรัพยากรและบุคลากร
    • ฝึกอบรมทีมงาน
    • จัดสรรงบประมาณ
    • เตรียมเครื่องมือและเทคโนโลยี
 
และสิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมในการจัดการองค์กรที่ได้รับผลกระทบจากประกาศกฎหมายลูก PDPA คือ …
1. การใช้หลัก Privacy by Design โดยเริ่มจากการออกแบบระบบและกระบวนการที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวตั้งแต่แรก
2. การตัดสินใจควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่าง
    • ความปลอดภัยของข้อมูล
    • ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    • ต้นทุนและทรัพยากรที่ต้องใช้
3. ควรมีการทบทวนและปรับปรุงการตัดสินใจเป็นระยะ เนื่องจาก
    • เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลง
    • ความเสี่ยงอาจเปลี่ยนแปลง
    • อาจมีข้อกำหนดใหม่เพิ่มเติม
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
อบรม pdpa
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
DPS 1200x300
dpo รวม