PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

9 ขั้นตอนเพื่อการบริหารจัดการ DSAR ตาม PDPA อย่างมืออาชีพ

     หากคุณคือหนึ่งคนที่กำลังศึกษาหรือดำเนินการเกี่ยวกับ PDPA หลายคนอาจได้ยินหรือรู้จัก DSAR มาบ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจาก DSAR เป็นหนึ่งใน สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Right) การบริหารจัดการ DSAR มีจุดประสงค์ในการอำนวยความสะดวกผู้ร้องขอ ลดภาระองค์กรและพนักงานในการตอบสนองคำร้อง ซึ่งหากองค์กรไม่ปฎิบัติตามคำร้องหรือเพิกเฉยต่อคำร้อง มีโทษปรับทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาท
 
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Right) 
     สิทธิของบุคคลที่มีสถานะเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ได้รับตามที่กฎหมาย PDPA กำหนดไว้ โดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถใช้สิทธิเหล่านั้นได้ที่ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นผู้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปประมวลผลตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ซึ่งผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการรองรับการใช้สิทธิต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการดำเนินการใช้สิทธิหรือการปฏิเสธการใช้สิทธิก็ตาม
DSAR คืออะไร ?
     DSAR (Data Subject Access Request) หรือสิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เป็นหนึ่งในสิทธิตามที่กฎหมาย PDPA กำหนดไว้ ส่วนกระบวนการ DSAR เป็นการบริหารจัดการสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล รวมไปถึงการจัดการกับคำร้องขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งไม่ขัดต่อหลักกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล” สำหรับการขอเข้าถึงข้อมูลของตนเอง
แล้วองค์กรจะมีวิธีการรับมือกับการใช้สิทธิ DSAR ตามกฎหมาย PDPA ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่อย่างไร PDPA Thailand ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ขอแนะนำ  9 ขั้นตอนที่องค์กรที่บริษัทพึงปฏิบัติสำหรับอำนวยความสะดวกในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
  1. จัดให้มีช่องทางในการขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
     ขั้นตอนแรกสำหรับการบริหารการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลคือ การร้องขอหรือการกรอกคำร้องซึ่งอาจจะร้องขอผ่านมือถือ, อีเมล, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการสำหรับ DSAR ที่มีประสิทธิภาพต้องมีการบันทึกคำร้องขอหรือส่งต่อเอกสารอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งกระบวนการส่วนนี้เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพตลอดทั้งกระบวนการร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
 
  1. ยืนยันตัวตนของผู้ร้องขอ
     ในการยื่นคำร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบ หรือยืนยันตัวตนของผู้ร้องขอว่าเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลชุดนั้นจริง เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปซึ่งรวมไปถึงข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Data) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น เอกสารที่ระบุหรือแสดงตัวตนของข้อมูลอย่างเด่นชัด เช่น บัตรประจำตัวประชาชน, หนังสือเดินทาง หรือในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องเป็นตัวแทนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (การมอบอำนาจ) ก็ควรที่จะกำหนดให้มีการแนบเอกสารยืนยันตัวตนของตัวแทนด้วย
 
  1. ค้นหาที่อยู่ของข้อมูลและดึงข้อมูลตามที่ร้องขอ
     หลังจากการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ร้องขอเรียบร้อยแล้ว องค์กรหรือบริษัทจำเป็นต้องมีการตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่า ข้อมูลที่ถูกร้องขอไปอยู่หรือเกี่ยวข้องกับส่วนในขององค์กรบ้าง, อยู่ในฐานข้อมูลหรือถูกเก็บรักษาในระบบคลาวด์ส่วนใดบ้าง
ซึ่งหลังจากที่ทราบถึงแหล่งที่อยู่ของข้อมูลแล้ว คำถามคือการดึงข้อมูลชุดนั้น ต้องทำอย่างไร ? นั่นเป็นโจทย์ที่องค์กรหรือบริษัทจำเป็นตอบให้ได้ ซึ่งการดึงข้อมูลจากแหล่งเก็บข้อมูลอาจมีการรับข้อมูลจากฐานข้อมูล, ไฟล์เอกสาร, หรือแม้จากทางอีเมลได้ด้วยเช่นกัน
การตอบสนองต่อการร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรใส่ใจทั้งในเรื่องของความรวดเร็ว และความถูกต้อง เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้ร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (DSAR) ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
 
  1. ตรวจสอบข้อมูลและข้อยกเว้นที่สามารถปฏิเสธคำขอได้
     เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ขอใช้สิทธิตามกฎหมายแล้วนั้น องค์กร/บริษัท ซึ่งเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องมีการตรวจสอบว่าการขอใช้สิทธิดังกล่าว เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายที่สามารถใช้สิทธิได้ ซึ่งในบางกรณีเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่อาจใช้สิทธิได้ตามคำขอ เช่น การขอใช้สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ไว้ในการทำสัญญา ซึ่งสัญญาดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจึงสามารถปฏิเสธคำขอดังกล่าวได้
 
  1. จัดระเบียบและรูปแบบของข้อมูลให้ง่ายและสะดวกในการใช้งานหรือตรวจสอบ
     การส่งมอบข้อมูลให้กับเจ้าของข้อมูลจะต้องชัดเจน มีโครงสร้าง และเข้าใจง่าย รวมถึงการออกแบบระบบต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ซึ่งรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลต้องเป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ทั่วไป เช่น Excel หรือ PDF เพื่อให้เจ้าข้อมูลสามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการในส่วนนี้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลของเจ้าของข้อมูลได้ด้วย 
 
  1. ส่งต่อข้อมูลอย่างปลอดภัย
     องค์กรหรือบริษัทจำเป็นต้องมั่นใจว่าการโอนหรือส่งต่อข้อมูลของผู้ร้องขอนั้นถูกดำเนินการในมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด เพื่อป้องกันการแอบดักข้อมูล หรือป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล นอกจากนี้ต้องมีมาตรการในการโอนข้อมูลผ่านเครือข่ายที่ปลอดภัย หรือมาตรการในการนำส่งไฟล์ และเอกสารที่รัดกุมเพียงพอด้วย
กรณีเอกสารหรือชุดข้อมูลที่ต้องโอนหรือส่งต่อให้กับผู้ร้องขอ มีข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่สามติดอยู่ด้วย จะต้องทำการขอความยินยอมจากบุคคลที่สามก่อน และหากไม่ได้รับความยินยอมหรือไม่ได้ขอความยินยอมนั้น ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่สามจะต้องทำการเช่น ขีดฆ่า/ถมดำ/หรือวิธีการอื่น โดยต้องทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่สามได้ ก่อนที่มีการโอนหรือส่งต่อให้กับผู้ร้องขอไป
 
  1. ทำบันทึกกระบวนการร้องขอข้อมูล
     องค์กรหรือบริษัทจำเป็นต้องมีการทำบันทึกทุกกระบวนการร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำเอกสารคำร้อง การยืนยันตัวตน การตรวจสอบข้อมูล กระบวนการดึงข้อมูลตามที่ร้องขอ ข้อยกเว้นตามที่กำหนด รวมไปถึงกระบวนการส่งต่อข้อมูล
โดยการทำบันทึกกระบวนการร้องขอข้อมูลจะช่วยให้องค์กรสามารถติดตามผลของ DSAR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถทราบได้ว่าต้องปรับปรุง หรือแก้ไขข้อบกพร่องในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้การบันทึกกระบวนการร้องขอการเข้าถึงข้อมูล ยังเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ต้องทำตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดไว้อีกด้วย
 
  1. ติดต่อสื่อสารกับผู้ร้องขอตลอดกระบวนการ
      ตลอดกระบวนการ DSAR ควรมีการติดต่อ หรือแจ้งต่อผู้ร้องขออยู่เสมอเกี่ยวกับขั้นตอนที่กำลังดำเนินการอยู่ ว่าอยู่ที่ขั้นตอนใดบ้าง โดยกฎหมายได้มีการกำหนดถึงระยะเวลาในการที่องค์กรหรือบริษัทจะต้องตอบสนองการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลภายใน 30 วัน โดยไม่ชักช้า ซึ่งหากในกรณีที่เกิดเหตุล่าช้าองค์กรหรือบริษัทจะต้องมีการชี้แจงเหตุผลต่อผู้ร้องขอว่าเพราะอะไร รวมถึงต้องแจ้งช่วงวันเวลาที่ผู้ร้องขอจะได้รับข้อมูลตามที่ขอไว้
 
  1. ยืนยันการรับข้อมูลและปรับปรุงกระบวนการ DSAR
     เมื่อเจ้าของข้อมูลได้รับข้อมูลตามที่ร้องขอเรียบร้อยแล้ว ควรมีการยืนยันผ่านเจ้าของข้อมูลด้วยว่าได้รับข้อมูลแล้วเช่นกัน เพื่อคอนเฟิร์มว่าข้อมูลที่ร้องขอได้ถูกนำส่งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในระหว่างกระบวนการ DSAR หากพบเจอปัญหาที่จุดไหนควรมีแนวทางการแก้ไขให้เรียบร้อย เพื่อให้เจ้าของข้อมูลมั่นใจว่าองค์กรหรือบริษัทดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว
 
     ส่วนของขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ช่วยยืนยันว่าองค์กรได้เคารพสิทธิของเจ้าของข้อมูล และดำเนินงานได้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA อย่างแท้จริง ซึ่งหากทำทุกอย่างเรียบร้อยเป็นอันปิดจบกระบวนการ DSAR ที่สมบูรณ์ และต้องไม่ลืมที่จะบันทึกการตอบสนองการใช้สิทธินี้ทุกครั้งไว้ใน RoPA อีกด้วย
อย่างไรก็ดี กฎหมายไม่ได้กำหนดรูปแบบหรือแนวทางปฏิบัติในเชิงธุรกิจ (Business Best Practice) ว่าองค์กรหรือบริษัทต้องจัดการอย่างไร รูปแบบใด ปฏิบัติอย่างไรเมื่อได้รับคำร้องขอจากเจ้าของข้อมูล แต่กฎหมายมีการกำหนดว่าองค์กรหรือบริษัท “ต้องปฏิบัติ” เมื่อมีการร้องขอเอาไว้
ซึ่งแนวทางที่พึงปฏิบัติไม่ว่าจะเป็น การร่างนโยบายด้าน (DSAR – Data Subject Access Request), การกำหนดผู้รับเรื่อง หรือคณะกรรมการรับเรื่องแต่ละทีมงานที่เกี่ยวข้อง, การกำหนดข้อมูลที่อยู่ในขอบเขตการขอเข้าถึงและรับสำเนา และกำหนดรูปแบบของการข้อเข้าถึงและรับสำเนาอย่างเป็นทางการ เพื่อการบริหารและจัดการมาตรการรับรองการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (DSAR: Data Subject Right) อย่างมีประสิทธิภาพ  
 
    จบทุกปัญหากวนใจด้านมาตรการรับรองการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (DSAR)  PDPA Thailand บริการผู้ช่วยจัดการเรื่องมาตรการรับรองการใช้สิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (DSAR) โดยมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการร่างมาตรการ, ให้คำแนะนำ, ตรวจสอบ หรือฝึกอบรม เพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และสามารถดำเนินการได้สอดคล้องตาม PDPA
สนใจบริการหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
Facebook: PDPA Thailand
LINE: @pdpathailand
Email: [email protected] 
Tel: 081-6325918
pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม