การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล คืออะไร แค่ไหนที่เรียกว่าเกิด เหตุละเมิด ต้องแจ้ง สคส.เมื่อไร อย่างไร และต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ?
ตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง “หลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2565” ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในมาตรา 16(4) และมาตรา 37(4) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 ได้นิยามคำว่า “การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” คือการละเมิดมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ทำให้เกิดการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ
แปลว่า การละเมิดจะเกิดขึ้น เมื่อข้อมูลนั้นถูกเข้าถึง ไม่ว่าจะมีการใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผย หรือทำให้สูญหาย โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ โดยมิชอบ ซึ่งหมายถึง “ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ และ ทำนองคลองธรรม”
ประเภทของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล มีอะไรบ้าง?
1. การละเมิดความลับของข้อมูลส่วนบุคคล (Confidentiality Breach): เกิดการเข้าถึงหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ
2. การละเมิดความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลส่วนบุคคล (Integrity Breach): มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ครบถ้วน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ
3. การละเมิดความพร้อมใช้งานของข้อมูลส่วนบุคคล (Availability Breach): ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ หรือมีการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตามปกติ
การละเมิดแต่ละกรณีอาจเกิดจากการกระทำโดยเจตนา ความประมาทเลินเล่อ หรืออุบัติเหตุ และอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในระดับที่แตกต่างกัน
หน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อเกิดเหตุละเมิดต้องทำอะไรบ้าง?
– ตรวจสอบและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิด
– ดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์โดยทันที
– แจ้งเหตุต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุ
– แจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง
– ดำเนินมาตรการเยียวยาและป้องกันการเกิดซ้ำ
ปัจจัยในการประเมินความเสี่ยง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจพิจารณาจากปัจจัยใด?
1. ลักษณะและประเภทของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
– เช่น เป็นการละเมิดความลับ ความถูกต้อง หรือความพร้อมใช้งานของข้อมูล
2. ลักษณะหรือประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
– ตัวอย่างเช่น ข้อมูลทั่วไป หรือข้อมูลอ่อนไหว เช่น ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลทางการเงิน
3. ปริมาณของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
– พิจารณาจากจำนวนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือจำนวนรายการของข้อมูลที่ถูกละเมิด
4. ลักษณะ ประเภท หรือสถานะของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบ
– เช่น เป็นผู้เยาว์ ผู้พิการ ผู้ไร้ความสามารถ หรือบุคคลเปราะบางหรือไม่
5. ความร้ายแรงของผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น
– รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการที่ใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิด
6. ผลกระทบในวงกว้างต่อธุรกิจหรือการดำเนินการของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือต่อสาธารณะ
– เช่น ผลกระทบต่อชื่อเสียง ความเชื่อมั่นของลูกค้า หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
7. ลักษณะของระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
– รวมถึงมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่มีอยู่ ทั้งมาตรการเชิงองค์กร เชิงเทคนิค และทางกายภาพ
8. สถานะทางกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
– ว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล รวมทั้งขนาดและลักษณะของกิจการ
การประเมินความเสี่ยงโดยพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถตัดสินใจได้ว่าการละเมิดนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจว่าจำเป็นต้องแจ้งเหตุละเมิดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและ/หรือเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ และควรดำเนินมาตรการป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรต่อไป
กรณีใดได้รับการยกเว้นการแจ้งเหตุ?
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจยกข้อยกเว้นการแจ้งเหตุละเมิดแก่สำนักงานได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุการละเมิดนั้นไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยอาจเป็นกรณีดังต่อไปนี้:
1.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกละเมิดไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้
2. ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ เนื่องจากมีมาตรการทางเทคโนโลยีที่เพียงพอ
3. เหตุอื่นใดที่เชื่อถือได้ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ในการยกข้อยกเว้นนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ให้ข้อมูลหรือส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเหตุที่ควรได้รับการยกเว้น รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลอื่นใดให้สำนักงานพิจารณา
ต้องแจ้งเหตุละเมิด 72 ชั่วโมง คิดอย่างไร?
การนับระยะเวลา 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุละเมิดเพื่อแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีรายละเอียดและข้อควรพิจารณาดังนี้:
1. จุดเริ่มต้นการนับเวลา:
– เริ่มนับตั้งแต่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล “ทราบเหตุ” ว่ามีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้น
– “ทราบเหตุ” หมายถึง มีความแน่ใจพอสมควรว่าเกิดเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่เพียงแค่สงสัยหรือได้รับรายงานเบื้องต้น
2. การนับเวลาต่อเนื่อง:
– นับต่อเนื่องไป 72 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักในวันหยุดราชการหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
– นับรวมชั่วโมงกลางคืนด้วย ไม่ใช่แค่เวลาทำการปกติ
3. การตรวจสอบและประเมินเบื้องต้น:
– ช่วงเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีการละเมิดจริงหรือไม่ ไม่นับรวมในระยะเวลา 72 ชั่วโมงนี้
– เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีการละเมิดจริง จึงเริ่มนับ 72 ชั่วโมง
4. กรณีทราบเหตุนอกเวลาทำการ:
– หากทราบเหตุในวันหยุดหรือนอกเวลาทำการ ก็ต้องเริ่มนับทันที ไม่รอถึงวันทำการถัดไป
5. การแจ้งเป็นระยะ:
– หากไม่สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดได้ภายใน 72 ชั่วโมง อาจแจ้งเป็นระยะได้
– แจ้งข้อมูลเท่าที่มีก่อนภายในกำหนด แล้วส่งข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง
6. กรณีล่าช้าเกิน 72 ชั่วโมง:
หากมีเหตุจำเป็นที่ทำให้แจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลล่าช้ากว่า 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจขอให้สำนักงานพิจารณายกเว้นความผิดจากการแจ้งล่าช้าได้ โดย:
1) ต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
2) ต้องแสดงให้เห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
3) ต้องแจ้งแก่สำนักงานโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 15 วันนับแต่ทราบเหตุ
สำนักงานอาจขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมได้ และหากพิจารณาแล้วเห็นควรยกเว้น จะถือว่าผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้รับยกเว้นการแจ้งเหตุตามกำหนดเวลาในมาตรา 37(4)
7.การนับเวลา 72 ชั่วโมงนี้มีความสำคัญมาก เพราะหากแจ้งล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนกฎหมายและมีโทษตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 83 ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
ต้องแจ้ง เหตุละเมิด ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่?
การแจ้งเหตุแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลกระทบที่อาจได้รับ และสามารถดำเนินการป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
1. ต้องแจ้งเมื่อมีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
2. ต้องแจ้งโดยไม่ชักช้า หลังจากทราบเหตุและได้ประเมินความเสี่ยงแล้ว
3. ต้องระบุสาระสำคัญ
1) ข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
2) ชื่อ สถานที่ติดต่อ และวิธีการติดต่อของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือบุคคลที่รับผิดชอบ
3) ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
4) แนวทางการเยียวยาความเสียหายและมาตรการที่ใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิด
5) ข้อแนะนำเกี่ยวกับมาตรการที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบ
4. สามารถแจ้งเป็นรายบุคคลหรือเป็นการทั่วไปผ่านสื่อต่างๆ ตามความเหมาะสม
1) โดยหลักให้แจ้งเป็นรายบุคคลเป็นหนังสือหรือโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
2) กรณีไม่สามารถแจ้งเป็นรายบุคคลได้ (เช่น ไม่มีวิธีการติดต่อ หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆอาจแจ้งโดย
แจ้งเป็นกลุ่ม
แจ้งเป็นการทั่วไปผ่านสื่อสาธารณะ
แจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์
แจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใดที่เจ้าของข้อมูลสามารถเข้าถึงได้
5. ความสัมพันธ์กับการแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
1) การแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนี้เป็นหน้าที่เพิ่มเติมจากการแจ้งสำนักงาน
2) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจต้องแจ้งทั้งสำนักงานและเจ้าของข้อมูล หรือแจ้งเฉพาะสำนักงาน ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของการละเมิด
6. ข้อควรระวัง:
1) การแจ้งเป็นกลุ่มหรือแจ้งเป็นการทั่วไปต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
2) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องพิจารณาเลือกวิธีการแจ้งที่เหมาะสมกับสถานการณ์และไม่เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าของข้อมูล
การแจ้ง เหตุละเมิด ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
1. ช่องทางการแจ้งเหตุ
โทร : 02-1421033, 02-1416993
Email: [email protected]
หรือที่ตั้งของสำนักงานฯ : www.pdpc.or.th
ลักษณะของการละเมิด
ข้อมูลติดต่อของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ในข้อ 5 ของประกาศระบุว่า ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้อง “ดำเนินการตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อระงับ ตอบสนอง แก้ไข หรือฟื้นฟูสภาพจากเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว รวมทั้งป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะเดียวกันในอนาคต”
ในข้อ 10 ระบุว่า เมื่อแจ้งเหตุละเมิดแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องแจ้ง “แนวทางการเยียวยาความเสียหายของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” ด้วย
นอกจากนี้ ในข้อ 10 ยังระบุว่าต้องแจ้ง “ข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับมาตรการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือจะใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” รวมถึง “ข้อแนะนำเกี่ยวกับมาตรการที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือเยียวยาความเสียหาย”
แม้ว่าประกาศไม่ได้ระบุรายละเอียดเฉพาะเจาะจงของวิธีการเยียวยา แต่ก็กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องพิจารณาและดำเนินการเยียวยาตามความเหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึง:
การชดเชยค่าเสียหายทางการเงิน
การให้บริการเฝ้าระวังการใช้ข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
การให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในการจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
การดำเนินการแก้ไขหรือลบข้อมูลที่ถูกละเมิด
การปรับปรุงระบบหรือกระบวนการเพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต









