PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เป็นกฎหมายใหม่ที่คลอดออกมาได้ไม่กี่ปี และเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย เนื่องจากรากเหง้าของกฎหมายฉบับนี้ถูกพัฒนามาจากวัฒนธรรมโลกตะวันตกที่ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวถูกใช้ไปในทางละเมิด ก่อให้เกิดความเสียหาย และค่อย ๆ แพร่กระจายไปทั่วโลกจนถึงเอเชียและไทยในที่สุด ที่เริ่มมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทยอยคลอดออกมากันตามลำดับ

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเคยได้ยิน หรือเริ่มศึกษากฎหมายตัวนี้มาได้สักพักและต้องการทำ Data Protection ให้กับองค์กรอาจรู้สึกมึนงง ว่ากฎหมายตัวนี้มันแสนจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน เข้าใจยาก บางครั้งคิดว่าเข้าใจถูกแล้วกลายเป็นว่าเข้าใจคาดเคลื่อนไปอีก PDPA Thailand รวบรวม 7 เรื่องเล่าที่อาจทำให้คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA มาเล่าสู่กันฟัง (พร้อมแถลงสิ่งที่เราเก็ตจากประสบการณ์ของเรา)

1. พ.ร.บ.ประกาศใช้แล้วจะโดนปรับหรือจับทันที

ไม่จริง กฎหมายตัวนี้เป็นกฎหมายวินัย เป็นมาตรฐานสำหรับองค์กรให้ดำเนินการตามเอาไว้ หากไม่เกิดเหตุละเมิดใหญ่โตจนเกิดความเสียหายในวงกว้างจนเกิดการตรวจสอบ หรือมีผู้ร้องเรียนองค์กรนั้น ๆ ว่าไม่มีระบบการให้ใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อร้องขอ หรือไม่ได้ Compliance ตามกฎหมายจนเกิดเคสฟ้องร้องกับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อไต่สวนกันเรียบร้อยแล้วหากมีความผิดจึงจะโดนจับหรือปรับ ไม่ได้โดนโทษจากกฎหมายทันทีหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลบังคับใช้ 1 มิ.ย. 65 อย่างที่หลาย ๆ คนตื่นตกใจ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA เอาไว้ตั้งแต่แรกหลังประกาศใช้ย่อมดีกว่า กันไว้ดีกว่าแก้แน่นอน

2. ห้ามเก็บ ใช้ เปิดเผยข้อมูล

ไม่จริง PDPA ไม่ได้ห้ามเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือกระทำแล้วมีความผิด เพียงแต่การจะทำได้ ต้องมี ”เหตุผล” หรือเรียกเป็นภาษากฎหมายว่า “ฐานทางกฎหมาย” ที่เหมาะสมและจำเป็น และก่อนหรือระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลก็ต้องมีการแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาเหล่านั้นด้วย

3. การขอความยินยอมคือทางรอดหนึ่งเดียว

ไม่จริง หลายคนที่ศึกษากฎหมายตัวนี้ใหม่ ๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องการขอความยินยอมเป็นอันดับแรก ว่าขอความยินยอมแล้วจะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไปใช้งานได้ อันที่จริงเหตุผลในการเอาข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้งานมีอยู่ด้วยกันถึง 7 ฐานการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งการขอความยินยอมเป็นทางเลือกที่ไม่มั่นคงมากที่สุด เพราะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอถอนความยินยอมได้ทุกเมื่อ โดยการขอความยินยอมจำเป็นอย่างยิ่งกับการเอาข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด และการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลประเภทพิเศษ (ข้อมูลอ่อนไหว) แต่ถ้าหากองค์กรสามารถประมวลข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยเห็นผลในข้ออื่น ๆ แนะนำว่าควรใช้เหตุผลนั้นดีกว่านะครับ

4. พนักงานขององค์กรแต่ละคนเป็นผู้ควบคุมข้อมูล/ผู้ประมวลผลข้อมูลแตกต่างกัน

ไม่จริง เพราะกฎหมายตัวนี้มองถึงบุคคล/นิติบุคคลที่สามารถตัดสินใจเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเองได้ = ผู้ควบคุวมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) หรือประมวลผลตามที่ได้รับมอบหมาย = ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) พนักงานในองค์กรที่มีฐานะเป็น Data Controller / Data Processor ไม่ว่าใครก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น ถ้าพนักงานในองค์กรละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความดูแลขององค์กร ก็เท่ากับว่าทั้งองค์กรละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลนั้นด้วย เรื่องการเอาผิดพนักงานรายบุคคลนั้นเป็นเรื่องการละเมิดต่อกฎระเบียบภายในองค์กร ดังนั้น การปรับระเบียบข้อบังคับ สัญญาพนักงาน และการอบรมพนักงานเรื่อง PDPA จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ

5. การถ่ายรูป/วิดีโอติดคนอื่นทำไม่ได้

ไม่จริง กับประเด็นที่เป็นกระแสร้อนแรงข้อนี้ อันที่จริงเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว (Privacy) มากกว่าการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection) เราสามารถถ่ายรูป/วิดีโอติดคนอื่นที่ “เต็มใจ” ได้อยู่แล้ว การอยู่ในที่สาธารณะและถ่ายภาพหรือวิดีโอติดคนอื่นสามารถกระทำได้ โดยดูที่เจตนาของการกระทำครับ โดยหากเห็นบุคคลห่าง ๆ ไม่ได้โฟกัสหรือตั้งใจถ่ายไปบูลลี่เขาให้เกิดความเสียหายก็ไม่เป็นไร หรือหากเห็นได้ชัดเจนก็ช่วยเบลอหน้าเขานิดหนึ่ง ระมัดระวังในการลงภาพและวิดีโอมากขึ้น หรือถ้าไม่ชัวร์ก็ขออนุญาตเขาสักนิดก็ไม่เป็นปัญหาแล้วครับ

ส่วนในแง่ของเชิงองค์กร เช่นมีการจัดงานอีเวนท์และมีการถ่ายภาพ/วิดีโอบรรยากาศในงาน หนทางแก้คือแจ้งให้เขารับทราบว่าในงานจะมีการบันทึกภาพและวิดีโอ ระหว่างการลงทะเบียนตามช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้างานหรือออนไลน์ล่วงหน้า พร้อมแจ้งเตือนการถ่ายภาพ/วิดีโอไว้หน้างาน หากเขาเต็มใจจะลงทะเบียนและเลือกก้าวเข้ามาในงานอีเวนท์ ย่อมหมายความว่าเขายอมรับ Condition นั้นนั่นเอง และทางกฎหมายอาจมองได้อีกว่าเป็นประโยชน์อันชอบธรรมหนึ่งของผู้จัดงาน อย่างไรก็ตาม ตากล้องของคุณยังคงต้องมีความระแวดระวังในการถ่าย และเคารพในสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเหมือนเดิม

6. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิทำอะไรก็ได้กับข้อมูลของตัวเอง

ไม่จริง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองตามกฎหมาย PDPA คือ ขอเข้าถึง แก้ไข โอนย้าย ลบทำลาย ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้สิทธิทุกอย่างได้ในทุกกรณี ต้องดูว่าไม่ติดเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย เช่นติดอยู่ในสัญญาแลกเปลี่ยน หรือข้อมูลส่วนบุคคลนั้นกำลังถูกใช้เพื่อการก่อตั้งสิทธิตามกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลอยู่ เป็นต้น

7. PDPA เกิดมาผลักภาระให้ธุรกิจ/ผู้ประกอบการ

ไม่จริง คนทำงานองค์กรคงรู้สึก PDPA แสนจะเป็นภาระ แต่เมื่อลองมองในมุมกลับ กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ช่วยพัฒนากระบวนการทำงานขององค์กรด้านการจัดการข้อมูล (ส่วนบุคคล) ให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น แม้จะต้องลงทุนด้านกำลังทรัพย์และกำลังคน ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ารับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลที่นับวันข้อมูลจะมีมูลค่ามาก และมีความยุ่งเหยิงซับซ้อนได้อีกหลายเท่า การมีความตระหนักด้านข้อมูลส่วนบุคคล กระบวนการทำงานที่ส่งเสริม และการป้องกันด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ที่แข็งแรง จะทำให้องค์กรโตได้อย่างมั่นคง มีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ และได้รับความไว้วางใจจากผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น ผู้มาติดต่อ คู่ค้า และลูกค้า

อ่านแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง PDPA เข้าใจยากแต่ก็ไม่ยากเกินเข้าใจ สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจกฎหมายฉบับนี้ในเชิงลึกพอที่จะนำไปปรับประยุกต์ใช้ในการทำงานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กร หรือไม่มีเวลาลงมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างเพียงพอ แก้ปัญหาได้ด้วยบริการจาก PDPA Thailand คลิก!

pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม