PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

ก่อนอื่นผู้อ่านจะต้องเข้าใจในทิศทางที่ตรงกันก่อนว่า วัตถุประสงค์ใน ‘การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล’ ไม่ว่าจะเพื่อการค้า การบริการ หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตาม สิ่งนั้นก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง แต่ย่อมไม่ใช่เป็นการทำความรู้จักบุคคลเหล่านั้นในเชิงลึกเพื่อสานสัมพันธ์ในเชิงครอบครัว คนรัก หรือมิตรสหาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทราบ ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของบุคคลเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้ เพียงแค่ต้องทราบว่า พวกเขาต้องการอะไร ให้ความสำคัญกับสิ่งใด ต้องการเมื่อไหร่ หรือมีแนวโน้มว่าจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร

ขณะที่ทฤษฎีการตลาดเพื่อทำความรู้จักลูกค้าที่เรียกว่า ‘6W1H’  (Who What Where When Why Whom และHow) โดยคำว่า ‘Who’ อาจจะมีความหมายอย่างมากสำหรับการตลาดยุคเก่า แต่ภายให้กฎหมาย PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งจะบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ อาจจะต้องเปลี่ยนเป็น ‘They’

นั่นเพราะข้อมูลที่สามารถระบุตัวตน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อม มีสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และจะต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล รวมถึงระบุวัตถุประสงค์ในการเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างชัดเจน

จึงเป็นเหตุจำเป็นที่องค์กรธุรกิจจะต้องมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันการละเมิด หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทั้งเจ้าของข้อมูลมีสิทธิในการจะขอให้ระงับ แก้ไข หรือเพิกถอนความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลได้

ข้อมูลส่วนบุคคล จึงไม่ใช่ทรัพย์สินทางธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเพียงลักษณะการ ‘ยืมใช้’ ด้วยเหตุนี้ ทำการข้อมูลบุคคลในลักษณะ ‘นามแฝง’ (Pseudonymisation) คือการไม่ระบุชื่อบุคคล เช่น การแทนค่าชื่อบุคคลเป็น คุณA หรือคุณB หรือการเข้ารหัสบุคคล ซึ่งผู้ประมวลผลข้อมูลอาจจะไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นๆ เพียงแต่ยังทราบข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลในทางอ้อมได้ แต่นั้นก็เท่ากับว่ายังสามารถระบุตัวบุคคลในลักษณะทางอ้อมได้อยู่ดี วิธีการนี้แม้จะปลอดภัยอยู่บ้าง แต่ยังคงมีความเสี่ยงซ่อนอยู่

อีกลักษณะหนึ่ง คือ การทำข้อมูลให้เป็น ‘นิรนาม’ (Anonymization) หมายถึง การใช้วิธีการทางเทคนิคที่จะทำให้ข้อมูลนั้นไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้อีกต่อไป และผู้วิเคราะห์ข้อมูลไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า ‘ชุดข้อมูลบุคคล’ ที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้น แท้จริงแล้วมาจากใครบ้าง ตัวตนเจ้าของข้อมูลเป็นใคร นี่จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับองค์กรธุรกิจ ภายใต้กฎหมาย PDPA

Big Data ยุคใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนเสมอไป

ก่อนนี้เราคงคุ้นเคยกับคำว่า Data Driven หรือการทำธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูล ซึ่งเกิดเป็นคำว่า Big Data หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่องค์กรธุรกิจมีการจัดเก็บเพื่อนำมาวิเคราะห์ และประมวลผลอันนำไปสู่การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ในที่นี้ การบังคับใช้กฎหมาย PDPA อาจจะทำให้หลายๆ ธุรกิจเกิดความรู้สึกว่าการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อกิจกรรมทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ถูกจำกัดคุณภาพลงไปมาก หรือเกิดเป็นต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่เมื่อมองที่สังคมโลกให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล กิจกรรมการค้ายุคใหม่จึงต้องปรับเปลี่ยนให้ทันต่อสถานการณ์โลก และสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่

ด้วยเหตุนี้ การทำข้อมูลให้เป็นนิรนาม (Data Anonymization) ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนเจ้าของข้อมูลเสมอไป แต่ต้องดูตามวัตถุประสงค์ของการประมวลผล หรือผลลัพธ์ที่องค์กรธุรกิจต้องการ ‘อย่างแท้จริง’ ยกตัวอย่างเช่น การประมวลผลข้อมูลลูกค้าเพื่อค้นหาว่าลูกค้ามีทัศนคติ หรือมุมมองอย่างไรต่อสินค้าที่วางขายในท้องตลาด

ด้วยข้อมูลที่มีการจัดเก็บเป็นกลุ่มตัวอย่างบุคคลจำนวนมาก รูปแบบการจัดเก็บจึงสามารถใช้วิธีการแทนค่าเป็นกลุ่มคน หรือกลุ่มตัวอย่าง ตามพื้นที่ เขต ตำบล หมู่บ้าน ความชอบ กลุ่มย่อย หรือแบ่งตามสถานะทางสังคม อาชีพ รายได้ เงินเดือน รถที่ขับ ฯลฯ

โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จัก หรือจัดเก็บข้อมูลในเชิงลึกซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถยืนยันตัวตนได้อย่างแม่นยำ หรือข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหวที่อาจจะมีโทษต่อธุรกิจในภายหลัง รวมถึงยังมีรูปแบบการทำข้อมูลให้เป็นนิรนามอีกหลากหลายแนวทาง ทั้งก่อนและหลังจากเก็บข้อมูล และบทบัญญัติในกฎหมาย PDPA ที่ระบุว่า องค์กรธุรกิจจะต้องมีการทำบันทึกรายการข้อมูลส่วนบุคคลไว้ด้วย

แนะวิธี ทำข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็น ‘นิรนาม’ ทำอย่างไร

  • กฎหมาย PDPA ไม่ได้ระบุถึงวิธีการ หรือเทคนิคเฉพาะที่จะทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นนิรนาม และไม่มีเทคนิคที่ตายตัว หากแต่เน้นย้ำถึงการใช้ข้อมูลอย่างระมัดระวัง เน้นถึงการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลตามความจำเป็นในการใช้ เพื่อความปลอดภัยและปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูล
    ดังนั้น เทคนิคในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ รวมถึงการปกปิดเพื่อไม่ให้ข้อมูลบุคคลดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงจนนำไปสู่การระบุตัวบุคคลได้จึงเป็น ‘วิธีการเฉพาะ’ สำหรับแต่ละธุรกิจ โดยสามารถทำได้โดยใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ อาทิเช่น
    การคละข้อมูล หรือการแทนค่าตัวแปร ปรับเปลี่ยนเป็น ‘ชุดข้อมูล’ แต่ไม่ถึงกับทำให้ข้อมูลเหล่านั้นสูญเสียคุณค่าในการใช้งานไปอย่างเปล่าประโยชน์
  • ลดความละเอียดของการจัดเก็บข้อมูล เพื่อลดความเป็นเฉพาะเจาะจงที่สามารถระบุตัวบุคคล
  • การจัดทำเป็นชุดข้อมูลเฉพาะ เช่น ลูกค้ากลุ่มA กลุ่มบB กลุ่มC โดยที่ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวตน แต่เป็นการเก็บข้อมูลในเชิงพฤติกรรม หรือในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลก็ได้

 

ในที่นี้ องค์กรธุรกิจ ยังสามารถนำวิธีการทำข้อมูลบุคคลในลักษณะ ‘นามแฝง’ มาร่วมกับเทคนิคการทำข้อมูลให้เป็นนิรนามก็ได้เช่นกัน ซึ่งอย่างที่กล่าวในข้างต้นว่า วิธีเฉพาะเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ และความจำเป็นเฉพาะของแต่ละธุรกิจ หรือกิจกรรมทางการค้า
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีอะไรมารับรองได้ว่า แม้มีการทำข้อมูลเป็นนิรนาม หรือนามแฝงแล้ว ข้อมูลบุคคลดังกล่าวจะไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ เนื่องจากเป็นเพียงวิธีการ หรือแนวทางให้องค์กรธุรกิจสามารถ ‘ลดความเสี่ยง’ ที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นกระบวนการเก็บข้อมูลจึงยังต้องเก็บเท่าที่จำเป็นต้องใช้ ใช้อย่างระมัดระวัง และใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันการรั่วไหลที่อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้ ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลดคุณค่าของข้อมูลจนสูญเสียคุณประโยชน์ที่แท้จริงไปอย่างน่าเสียดาย

pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม