‘สมาคมการค้า’ ทำไมต้องให้ความสำคัญกับกฎหมาย PDPA องค์กรเสี่ยงละเมิดหากไม่ระวัง!

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

‘สมาคมการค้า’ ทำไมต้องให้ความสำคัญกับกฎหมาย PDPA องค์กรเสี่ยงละเมิดหากไม่ระวัง!

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : pornpilast.su

‘สมาคมการค้า’ นิติบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการค้าของประเทศ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจในด้านต่างๆ แต่ไม่ใช่การหาผลกำไร หรือการแบ่งปันรายได้ พร้อมทั้งมีกฎหมายกำกับดูแลเฉพาะรองรับ คือ พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 ต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติสมาคมการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และยังมีมิติที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 นี้

เพราะภายใต้การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี ‘ข้อมูล’ (Data) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และการค้ายุคใหม่ แต่การรวบรวม เก็บ ใช้ หรือเปิดเผยก็ควรมีความรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากองค์กรธุรกิจ วิสาหกิจ ต่างๆ จะต้องมีการดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมาย ในที่นี้ขอยกเคสของ ‘สมาคมการค้า’ นิติบุคคลที่มีกิจกรรมหลายด้านเกี่ยวข้องโดยตรงกับกฎหมาย PDPA เพื่อความเข้าใจอย่างเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

สมาคมการค้าตามบทบัญญัติของกฎหมาย PDPA เข้าข่ายเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยกิจกรรมที่มีการจัดเก็บข้อมูลของสมาคมการค้าที่เห็นได้ชัดเจน คือ การจัดทำ ‘ทะเบียนสมาชิก’ เพื่อเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานของสมาคมการค้า และให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกนั้นแก่นายทะเบียน โดยอ้างอิงจาก พ.ร.บ.สมาคมการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 26 ที่ระบุว่า

“ให้สมาคมการค้าจัดทำทะเบียนสมาชิกเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานของสมาคมการค้า และให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกนั้นแก่นายทะเบียนภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต และจดทะเบียนเป็นสมาคมการค้า ทะเบียนสมาชิกนั้นอย่างน้อยให้มีรายการดังต่อไปนี้”

          1.ชื่อและสัญชาติของสมาชิก

          2.ชื่อที่ใช้ในการประกอบวิสาหกิจและประเภทของวิสาหกิจ

          3.ที่ตั้งสำนักงานของสมาชิก

          4.วันที่เข้าเป็นสมาชิก

ทว่า เนื้อหาสาระในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้ระบุไว้ในมาตรา 19 ว่า

ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล จะกระทำการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ให้ความยินยอม เว้นแต่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้กระทำได้

ดังนั้น ขั้นตอนในการจัดทำ ‘ทะเบียนสมาชิก’ จะเห็นว่าเป็นทั้งข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทั้งทางตรง และทางอ้อม รวมถึงมีการเก็บข้อมูลประเภทอ่อนไหว คือ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา แต่เป็นการเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยต่อนายทะเบียนหรือเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีกฎหมายคุ้มครอง ส่วนนี้จึงถือว่า สมาชิกของสมาคมการค้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวโดยชอบตามกฎหมาย

**เว้นแต่ สมาคมการค้าจะนำข้อมูลสมาชิกไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์ อาทิ กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการค้าภายในสมาคมฯ หรือ อีเวนท์ที่มุ่งเน้นประโยชน์เฉพาะกลุ่มก็ยังมีความจำเป็นต้องขอความยินยอม (Consent ) จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และต้องทำโดยชัดแจ้งช่น จัดทำสัญญาให้เซ็นต์ในรูปแบบหนังสือ หรือทำโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่ โดยสภาพไม่อาจขอความยินยอมด้วยวิธีการดังกล่าวได้

รวมทั้งต้องมีการแจ้งถึงวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้อย่างละเอียด และควรจะแยกส่วนจากข้อความอื่นอย่างชัดเจน เป็นรูปแบบข้อความที่สามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดหรือหลอกลวง

ข้อสำคัญคือ ไม่มีเงื่อนไขในการให้ความยินยอม เพราะกฎหมายกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องคำนึงถึงความเป็นอิสระของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย

กิจกรรมแบบไหนต้องขอความยินยอมตามกฎหมาย PDPA

สำหรับกิจกรรมของสมาคมการค้ายังมีอีกหลายๆ ด้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลตามบทบัญญัติในกฎหมาย PDPA เนื่องจากสมาคมการค้าย่อมมีการจัดเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลทั้งสมาชิก และบุคคลภายนอกเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ   อาทิ

** ข้อสังเกต จากกิจกรรมในข้างข้างต้น สมาคมการค้า อาจระบุว่าเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะที่อาจมีการเก็บ ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้แม้ได้ได้ขอความยินยอม แต่ก็ยังอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าจะต้องจัดทำภายใต้มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม

คำถาม คือ หากมีการจัดการที่บกพร่องจนนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูล หรือเกิดการละเมิดจะกลายเป็นว่าได้กระทำผิดกฎหมาย PDPA ไปโดยปริยายใช่หรือไม่? ดังนั้น กฎหมาย PDPA ไม่เพียงดูที่ความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ยังดูเจตนา และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เรื่องเหล่านี้จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับองค์กรธุรกิจและองค์กรอิสระต่างๆ ด้วย

ถึงตรงนี้ บางท่านอาจสงสัยว่า ‘สมาคมการค้าที่เป็นต่างชาติ’ หากมีสถานะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องมีการขอความยินยอมตามกฎหมาย PDPA หรือไม่ คำตอบคือ ‘ใช่’  เพราะไม่ว่าจะเป็นสมาคมการค้าสัญชาติไทย หรือต่างชาติ หากมีการเก็บ รวบรวม ใช้  หรือเปิดเผย หรือเปิดเผยตามคำสั่งโดยมีการดำเนินกิจกรรมในประเทศที่ไม่ใช่โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ แม้อยู่นอกประเทศไทยก็ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

แนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับ PDPA

ด้วยเหตุนี้ แง่มุมของ ‘สมาคมการค้า’ จึงมีอีกหลากหลายประเด็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย PDPA ให้ลึกซึ้ง และมีหลากหลายประเด็นให้ตีความว่าเข้าข่ายกระทำผิดตามกฎหมาย PDPA หรือไม่ ดังนั้น คำแนะนำคือ สมาคมการค้าจะต้องมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติอย่างเหมาะสมเพื่อรับมือ เช่น

  • หากเป็นสมาคมการค้าที่มีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อมูลจำนวนมากด้วย ก็ควรศึกษาบริบทในการใช้ข้อมูลของสมาคมฯ (Context of Use) และกำหนดวัตถุประสงค์การเก็บ รวบรวม ใช้และเปิดเผยอย่างเหมาะสม
  • มีการประเมินความเสี่ยงด้าน PDPA หรือที่เรียกว่าการทำ PDIA (Personal Data Impact Assessment) หรือ การประเมินผลกระทบกับข้อมูลส่วนบุคคล
  • การจัดทำนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) รวมทั้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy notice)
  • จัดทำนโยบายด้านการเก็บ รวบรวม ใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลภายนอก หรือ ข้อตกลงการเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลร่วม (Joint Controller Agreement)
  • การว่าจ้างหรือเพิ่มตำแหน่งงานในด้านเจ้าหน้าที่ประสานงานข้อมูลส่วนบุคคล
  • แต่หากเป็นองค์กรใหญ่ที่มีความซับซ้อนและข้อมูลเยอะมากก็อาจจะต้องมีการจ้าง DPO (Data Protection Officer) หรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กฎหมายคุ้มครองซึ่งจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับสมาคมการค้าที่มีสมาชิกและมีข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก

 

กระนั้น สิ่งที่เราได้แนะนำและให้ข้อมูลมาในที่นี้ ยังเป็นเพียงหลักการ และทฤษฎีในขั้นต้นเพื่อเป็นแนวทางให้สามารถพิจารณาถึงความเหมาะสม ตามความจำเป็น สำหรับองค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถเรียนรู้ เข้าใจ เพราะกฎหมาย PDPA ยังมีอีกหลายแง่มุมให้ศึกษา ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการ วิสาหกิจ สมาคมการค้าต่างๆ จึงต้องนำความรู้ที่มีไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ