PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand

ไม่ว่าจะขายแบบตรง กิจกรรมส่งเสริมการขาย และการตลาด ‘ข้อมูลบุคคล’ มักจะเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการที่ Sale และ Marketing นำมาประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อสร้างความเข้าอกเข้าใจลูกค้า หรือถึงขนาด ‘รู้ใจ’ ว่าผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร เวลาไหน แม้กระทั่งต้องการซื้อผ่านช่องทางไหนสะดวกที่สุด แถมยังทำให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการยังรู้สึกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นบริการที่ผู้ขายปรับแต่งขึ้นเพื่อเราโดยเฉพาะ ซึ่งวิธีการนี้ในวงการนักขายและการตลาดเรียกว่า การตลาดส่วนบุคคล (Personalized Marketing) แต่ถ้าเป็น CEO ก็มักจะบอกว่านี่คือ Data Driven Marketing

แต่จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ! ผลที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทางการขายและการตลาด ที่นำมาซึ่งยอดขายสินค้าหรือบริการที่มากมาย เคล็ดลับส่วนใหญ่ก็ล้วนเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ‘Big Data’ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมามีความหมายอย่างมากต่อทุกองค์กร แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่ากิจกรรมด้านการขายและการตลาดก็มักจะรุกล้ำเกินเส้นแบ่งของความเป็นส่วนตัวของลูกค้ามากทุกขณะ

ด้วยประเด็นนี้ ทั่วโลกจึงเกิดความตื่นตัวว่า ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ไม่ใช่ใครก็จะมาเก็บไปใช้ได้โดยง่าย และอาจนำไปสู่การณ์ละเมิดสิทธิที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงเกิดขึ้น ขณะที่ในประเทศไทยก็มีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) ที่บังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2565 เป็นที่เรียบร้อย

เหตุนี้ การใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อหวังผลด้านยอดขายและตลาด อาทิ การทดสอบเพื่อวัดผลลัพธ์ การสำรวจและวิเคราะห์ประสบการณ์ของลูกค้า การนำข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าที่มีต่อเว็บไซต์มาปรับปรุงเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงตามพฤติกรรมของลูกค้ามากที่สุด สิ่งเหล่านี้อาจจะต้อง ‘ระมัดระวัง’ มากขึ้น

แต่ไม่ได้หมายความว่า นักการตลาดจะไม่สามารถนำ ‘ข้อมูลลูกค้า’ มาประมวลผลเพื่อกิจกรรมด้านการตลาดและส่งเสริมการขายได้อีก เพียงแต่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตลอดจนต้องทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย PDPA ในเชิงรุก ทั้งความเข้าใจในสาระสำคัญของกฎหมาย และการปรับรูปแบบการนำข้อมูลลูกค้ามาใช้ประโยชน์ ด้วย 5 รายการเชิงทุกที่ทีมของตลาดของทุกบริษัท สามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยมีขั้นตอนดังนี้

 

1. แต่งตั้งที่ปรึกษาเรื่อง PDPA ภายในทีมการตลาดเพื่อตรวจสอบขั้นตอนการจัดการข้อมูล

ความรู้เป็นสิ่งที่ร่ำเรียนกันได้ แต่ความถนัดจัดเจนของแต่ละคนย่อมไม่อาจเรียนหรือสอนกันเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ทีมการตลาดจะยังไม่เข้าใจเรื่องกฎหมาย PDPA มากพอ

ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่เราอยากแนะนำให้ทุกบริษัททำ คือ การแต่งตั้งที่ปรึกษาในเรื่องกฎหมาย PDPA เพื่อสนับสนุนทีมการตลาดในการดูแลและจัดการข้อมูลในส่วนของกิจกรรมด้านการตลาดและส่งเสริมการขายในบริษัท หรือ (ถ้ามี) การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer: DPO) ก็จะเป็นเรื่องดีที่สุด เพื่อตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ก่อนอนุมัติแคมเปญการตลาดขององค์กรอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมาย เรียกว่าการมี DPO จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นดี โดย DPO จะต้องมีคุณสมบัติที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้การรับรอง และเป็นตำแหน่งที่กฎหมายคุ้มครอง

ถึงอย่างนั้น หัวหน้าทีมฝ่ายขายและการตลอดเอง จะต้องมีความเข้าใจเรื่องกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลในระดับหนึ่ง และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสมาชิกในทีมแต่ละคนเข้าใจถึงผลที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของกฎหมาย PDPA

 

2. สำรวจข้อมูลส่วนบุคคลที่มีอยู่ และรวบรวมเพื่อดำเนินการขอความยินยอม

สิ่งสำคัญ คือ ในทีมฝ่ายขายและการตลาดจะต้องรู้ก่อนว่า มีทรัพยากรที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลภายในบริษัทมีการจัดเก็บไว้เท่าไหร่ เก็บในรูปแบบไหน และนำมาจัดแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยหัวหน้าทีมสามารถสร้างเป็นคลังข้อมูลเฉพาะ เพื่อดำเนินการใน 2 เรื่องสำคัญ คือ สร้างแบบฟอร์มเพื่อการขอความยินยอมอย่างชัดแจ้งในการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และเรื่องที่สองคือการสร้างระบบ หรือกระบวนการในการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม สำหรับบางธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลเด็ก ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้พิการ บุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ จำเป็นจะต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียด เช่น อายุ สถานะภาพ ความยินยอมจากผู้ปกครองตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการละเมิดหรือเหตุการณ์ฟ้องร้องในภายหลัง

 

3. แบ่งประเภทข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเป้าหมายการขายหรือการตลาดเฉพาะด้าน

เป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วกับการทำการตลาดแบบ ‘หว่านแห’ ด้วยเหตุนี้เอง ข้อมูลของฝ่ายขายและการตลาดภายในทีมที่ไม่เพียงจะต้องจัดแบ่งตามประเภทของข้อมูล วัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูล แต่ยังรวมถึงต้องแบ่งกลุ่มของข้อมูลเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในบางกิจกรรม เช่น แบ่งข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ หรือบริการ แบ่งตามสถานะภาพ รายได้ อายุ หรือจะแบ่งเป็นแคมเปญอย่างไรก็ได้ แต่ควรมีการจัดสรรเป็นกลุ่มข้อมูลที่มี ‘ความเฉพาะเจาะจง’ ซึ่งยังมีประโยชน์อีกด้าน คือ ทำให้การทำแคมเปญต่างๆ มีความแม่นยำและได้ผลลัพธ์ตรงตามวัตถุประสงค์มากขึ้น

และสำหรับมุมมองด้านกฎหมาย PDPA ยังมีข้อดีอีกประการ คือทำให้กระบวนการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการขายและการตลาดอย่างแท้จริง ‘ไม่สะเปะสะปะ’ อันนำไปสู่การทำบันทีกรายการข้อมูลส่วนบุคคลได้อีกด้วย

 

4. อัพเดตข้อมูลส่วนบุคคล และความยินยอมอยู่เสมอ

กฎหมาย PDPA ไม่เพียงให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หากนำไปใช้ต้องขอความยินยอม แต่ยังระบุถึงสิทธิในการไม่ยินยอม การเพิกถอน การเข้าถึงและขอสำเนา การขอแก้ไขข้อมูล การถ่ายโอนข้อมูล หรือแม้แต่สิทธิในการคัดค้าน ให้ลบหรือทำลายข้อมูล ด้วยเหตุนี้ ‘สถานะ’ การยินยอมของข้อมูลส่วนบุคคลจึงต้องมีการ ‘อัพเดตอยู่เสมอ’ ซึ่งหัวหน้าทีมจะต้องหมั่นตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ในเชิงรุกสำหรับทุกแคมเปญ

 

5.ออกแบบแผนและซักซ้อมการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลภายในทีม

PDPA กำหนดให้องค์กรต้องรายงานการละเมิดข้อมูลไม่เกิน72 ชั่วโมงหลังจากที่องค์กรรับทราบถึงการละเมิด ดังนั้น DPO (ถ้ามี) จะต้องดำเนินการในเรื่องนี้ รวมถึงการวางมาตรการและขั้นตอนในการป้องกันการละเมิด แต่หากไม่มี DPO หัวหน้าทีมฝ่ายขายและการตลาดอาจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ‘เบื้องต้น’ ในบทบาทนี้

โดยเริ่มจากการสร้างความเข้าใจเรื่อง PDPA ภายในทีม ทั้งตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกทีมเข้าใจเรื่อง PDPA และการละเมิดเป็นอย่างดี เช่น หากเกิดการละเมิดข้อมูลลูกค้าขึ้น หรือมีข้อมูลรั่วไหลอันอาจนำไปสู่การละเมิด ภายในทีมจะต้องมีแนวปฏิบัติที่ตรงกัน เช่น หากมีการร้องเรียน การขอให้ระงับการเก็บหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากเกิดเหตุการณ์แจ้งละเมิดจะต้องปฏิบัติอย่างไร แจ้งให้ใครทราบ ตลอดจนมีการกำหนดช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมไว้เฉพาะเรื่องนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์

 

ทั้ง 5 รายการ ที่เราแนะและอยากให้ทำเหล่านี้ ไม่เพียงเป็นการป้องกัน และสามารถแก้สถานการณ์เหตุละเมิดในเชิงรุก แต่ยังทำให้ทีมฝ่ายขายและการตลาดในองค์กรได้ตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA แถมยังสามารถสร้างความเข้าอกเข้าใจ เป็นมิตรไมตรีระหว่างบริษัทกับลูกค้าได้อีกด้วย

กระนั้น กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งแน่นอนว่าย่อมหมายถึง ‘ทุกคน’ ด้วยเหตุนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการเก็บข้อมูลคู่ค้า กรรมการ ผู้ถือหุ้น ที่อาจมีการส่งต่อหรือถ่ายโอนข้อมูลไปให้บุคคลที่สาม ตลอดจนข้อมูลยิบย่อยต่างๆ ที่ทั้งทีมตลาด ทีมขาย ทีมบริหารงานลูกค้า (AE) มีการเก็บ รวบรวมใช้ หรือเปิดเผย จะต้องมีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA โดยจะมีการแจกแจงเรื่องที่คุณควรรู้ในบทความถัดไป

pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม