PDPA Thailand

PDPA Thailand
PDPA Thailand
การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล คืออะไร แค่ไหนที่เรียกว่าเกิด เหตุละเมิด ต้องแจ้ง สคส.เมื่อไร อย่างไร และต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ?
ตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง “หลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2565” ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในมาตรา 16(4) และมาตรา 37(4) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2565 ได้นิยามคำว่า “การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” คือการละเมิดมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ทำให้เกิดการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ
แปลว่า การละเมิดจะเกิดขึ้น เมื่อข้อมูลนั้นถูกเข้าถึง ไม่ว่าจะมีการใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผย หรือทำให้สูญหาย โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ โดยมิชอบ ซึ่งหมายถึงไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ และ ทำนองคลองธรรม” 
 
ประเภทของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล มีอะไรบ้าง?
1. การละเมิดความลับของข้อมูลส่วนบุคคล (Confidentiality Breach): เกิดการเข้าถึงหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ 
2. การละเมิดความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลส่วนบุคคล (Integrity Breach): มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ครบถ้วน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยมิชอบ 
3. การละเมิดความพร้อมใช้งานของข้อมูลส่วนบุคคล (Availability Breach): ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ หรือมีการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตามปกติ 
การละเมิดแต่ละกรณีอาจเกิดจากการกระทำโดยเจตนา ความประมาทเลินเล่อ หรืออุบัติเหตุ และอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในระดับที่แตกต่างกัน 
 
หน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อเกิดเหตุละเมิดต้องทำอะไรบ้าง?
   – ตรวจสอบและประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิด
   – ดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์โดยทันที
   – แจ้งเหตุต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุ
   – แจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง
   – ดำเนินมาตรการเยียวยาและป้องกันการเกิดซ้ำ
ปัจจัยในการประเมินความเสี่ยง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจพิจารณาจากปัจจัยใด?
1. ลักษณะและประเภทของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
    – เช่น เป็นการละเมิดความลับ ความถูกต้อง หรือความพร้อมใช้งานของข้อมูล
2. ลักษณะหรือประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
    – ตัวอย่างเช่น ข้อมูลทั่วไป หรือข้อมูลอ่อนไหว เช่น ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลทางการเงิน
3. ปริมาณของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
    – พิจารณาจากจำนวนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือจำนวนรายการของข้อมูลที่ถูกละเมิด
4. ลักษณะ ประเภท หรือสถานะของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบ
    – เช่น เป็นผู้เยาว์ ผู้พิการ ผู้ไร้ความสามารถ หรือบุคคลเปราะบางหรือไม่
5. ความร้ายแรงของผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น
    – รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการที่ใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิด
6. ผลกระทบในวงกว้างต่อธุรกิจหรือการดำเนินการของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือต่อสาธารณะ
    – เช่น ผลกระทบต่อชื่อเสียง ความเชื่อมั่นของลูกค้า หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
7. ลักษณะของระบบการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิด
    – รวมถึงมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่มีอยู่ ทั้งมาตรการเชิงองค์กร เชิงเทคนิค และทางกายภาพ
8. สถานะทางกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
    – ว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล รวมทั้งขนาดและลักษณะของกิจการ
การประเมินความเสี่ยงโดยพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถตัดสินใจได้ว่าการละเมิดนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจว่าจำเป็นต้องแจ้งเหตุละเมิดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและ/หรือเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ และควรดำเนินมาตรการป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรต่อไป
 
กรณีใดได้รับการยกเว้นการแจ้งเหตุ?
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจยกข้อยกเว้นการแจ้งเหตุละเมิดแก่สำนักงานได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุการละเมิดนั้นไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยอาจเป็นกรณีดังต่อไปนี้:
1.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกละเมิดไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้
2. ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ เนื่องจากมีมาตรการทางเทคโนโลยีที่เพียงพอ
3. เหตุอื่นใดที่เชื่อถือได้ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
    ในการยกข้อยกเว้นนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ให้ข้อมูลหรือส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเหตุที่ควรได้รับการยกเว้น รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลอื่นใดให้สำนักงานพิจารณา
 
ต้องแจ้งเหตุละเมิด 72 ชั่วโมง คิดอย่างไร?
    การนับระยะเวลา 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุละเมิดเพื่อแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีรายละเอียดและข้อควรพิจารณาดังนี้:
1. จุดเริ่มต้นการนับเวลา:
    – เริ่มนับตั้งแต่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล “ทราบเหตุ” ว่ามีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้น
    – “ทราบเหตุ” หมายถึง มีความแน่ใจพอสมควรว่าเกิดเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่เพียงแค่สงสัยหรือได้รับรายงานเบื้องต้น
2. การนับเวลาต่อเนื่อง:
    – นับต่อเนื่องไป 72 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักในวันหยุดราชการหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
    – นับรวมชั่วโมงกลางคืนด้วย ไม่ใช่แค่เวลาทำการปกติ
3. การตรวจสอบและประเมินเบื้องต้น:
    – ช่วงเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีการละเมิดจริงหรือไม่ ไม่นับรวมในระยะเวลา 72 ชั่วโมงนี้
    – เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีการละเมิดจริง จึงเริ่มนับ 72 ชั่วโมง
4. กรณีทราบเหตุนอกเวลาทำการ:
    – หากทราบเหตุในวันหยุดหรือนอกเวลาทำการ ก็ต้องเริ่มนับทันที ไม่รอถึงวันทำการถัดไป
5. การแจ้งเป็นระยะ:
    – หากไม่สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดได้ภายใน 72 ชั่วโมง อาจแจ้งเป็นระยะได้
    – แจ้งข้อมูลเท่าที่มีก่อนภายในกำหนด แล้วส่งข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง
6. กรณีล่าช้าเกิน 72 ชั่วโมง:
หากมีเหตุจำเป็นที่ทำให้แจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลล่าช้ากว่า 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจขอให้สำนักงานพิจารณายกเว้นความผิดจากการแจ้งล่าช้าได้ โดย:
1) ต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
2) ต้องแสดงให้เห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
3) ต้องแจ้งแก่สำนักงานโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 15 วันนับแต่ทราบเหตุ
สำนักงานอาจขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมได้ และหากพิจารณาแล้วเห็นควรยกเว้น จะถือว่าผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้รับยกเว้นการแจ้งเหตุตามกำหนดเวลาในมาตรา 37(4)
7.การนับเวลา 72 ชั่วโมงนี้มีความสำคัญมาก เพราะหากแจ้งล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนกฎหมายและมีโทษตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 83 ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
 
ต้องแจ้ง เหตุละเมิด ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่?
การแจ้งเหตุแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลกระทบที่อาจได้รับ และสามารถดำเนินการป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
1. ต้องแจ้งเมื่อมีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
2. ต้องแจ้งโดยไม่ชักช้า หลังจากทราบเหตุและได้ประเมินความเสี่ยงแล้ว
3. ต้องระบุสาระสำคัญ 
1) ข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
2) ชื่อ สถานที่ติดต่อ และวิธีการติดต่อของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือบุคคลที่รับผิดชอบ
3) ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
4) แนวทางการเยียวยาความเสียหายและมาตรการที่ใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิด
5) ข้อแนะนำเกี่ยวกับมาตรการที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบ
4. สามารถแจ้งเป็นรายบุคคลหรือเป็นการทั่วไปผ่านสื่อต่างๆ ตามความเหมาะสม
1) โดยหลักให้แจ้งเป็นรายบุคคลเป็นหนังสือหรือโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
2) กรณีไม่สามารถแจ้งเป็นรายบุคคลได้ (เช่น ไม่มีวิธีการติดต่อ หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆอาจแจ้งโดย
      • แจ้งเป็นกลุ่ม
      • แจ้งเป็นการทั่วไปผ่านสื่อสาธารณะ
      • แจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์
      • แจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใดที่เจ้าของข้อมูลสามารถเข้าถึงได้
5. ความสัมพันธ์กับการแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    1) การแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนี้เป็นหน้าที่เพิ่มเติมจากการแจ้งสำนักงาน
    2) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจต้องแจ้งทั้งสำนักงานและเจ้าของข้อมูล หรือแจ้งเฉพาะสำนักงาน ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของการละเมิด
6. ข้อควรระวัง:
1) การแจ้งเป็นกลุ่มหรือแจ้งเป็นการทั่วไปต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
2) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องพิจารณาเลือกวิธีการแจ้งที่เหมาะสมกับสถานการณ์และไม่เพิ่มความเสี่ยงให้กับเจ้าของข้อมูล
 
การแจ้ง เหตุละเมิด ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
1. ช่องทางการแจ้งเหตุ
โทร : 02-1421033, 02-1416993 
Email: [email protected]
หรือที่ตั้งของสำนักงานฯ : www.pdpc.or.th
  1. ลักษณะของการละเมิด
  2. ข้อมูลติดต่อของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  3. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
  1. ในข้อ 5 ของประกาศระบุว่า ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้อง “ดำเนินการตามมาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อระงับ ตอบสนอง แก้ไข หรือฟื้นฟูสภาพจากเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว รวมทั้งป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะเดียวกันในอนาคต”
  2. ในข้อ 10 ระบุว่า เมื่อแจ้งเหตุละเมิดแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องแจ้ง “แนวทางการเยียวยาความเสียหายของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” ด้วย
  3. นอกจากนี้ ในข้อ 10 ยังระบุว่าต้องแจ้ง “ข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับมาตรการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือจะใช้เพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” รวมถึง “ข้อแนะนำเกี่ยวกับมาตรการที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อป้องกัน ระงับ หรือแก้ไขเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือเยียวยาความเสียหาย”
  4. แม้ว่าประกาศไม่ได้ระบุรายละเอียดเฉพาะเจาะจงของวิธีการเยียวยา แต่ก็กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องพิจารณาและดำเนินการเยียวยาตามความเหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึง:
  • การชดเชยค่าเสียหายทางการเงิน
  • การให้บริการเฝ้าระวังการใช้ข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในการจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
  • การดำเนินการแก้ไขหรือลบข้อมูลที่ถูกละเมิด
  • การปรับปรุงระบบหรือกระบวนการเพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต
ทั้งนี้ การเยียวยาควรพิจารณาตามความร้ายแรงของผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นรายกรณีไป
เมื่อมีเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล องค์กรต้องมีการประเมิน ทบทวนและจัดใ้หมีมาตรการที่ใช้ในการแก้ไขและป้องกันเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไร?
1. มาตรการทางเทคนิค (Technical Measures):
   – ปิดช่องโหว่ทางความปลอดภัยที่ทำให้เกิดการละเมิด
   – อัพเดทระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
   – เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบการยืนยันตัวตน เช่น การใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-factor Authentication)
   – เข้ารหัสข้อมูลที่สำคัญ
   – ติดตั้งหรืออัพเกรดระบบป้องกันการบุกรุก (Firewall, Intrusion Detection/Prevention Systems)
2. มาตรการทางองค์กร (Organizational Measures):
   – ทบทวนและปรับปรุงนโยบายความปลอดภัยของข้อมูล
   – จัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
   – กำหนดขั้นตอนการตอบสนองต่อเหตุละเมิดข้อมูลที่ชัดเจน
   – จัดตั้งทีมตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (CSIRT)
3. มาตรการทางกายภาพ (Physical Measures):
   – เพิ่มการควบคุมการเข้าถึงพื้นที่ที่มีข้อมูลสำคัญ
   – ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดในพื้นที่สำคัญ
   – ปรับปรุงระบบการจัดเก็บและทำลายเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคล
4. มาตรการการตรวจสอบและติดตาม (Monitoring and Auditing Measures):
   – เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบระบบและล็อก
   – ใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และระบบ (User and Entity Behavior Analytics)
   – จัดให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบโดยบุคคลภายนอก (Third-party Security Audit)
5. มาตรการการกู้คืนข้อมูล (Data Recovery Measures):
   – ปรับปรุงระบบสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูล
   – ทดสอบแผนการกู้คืนระบบหลังภัยพิบัติ (Disaster Recovery Plan)
6. มาตรการทางกฎหมายและสัญญา (Legal and Contractual Measures):
   – ทบทวนและปรับปรุงสัญญากับผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
   – ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวและแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบ
7. มาตรการการสื่อสารและการจัดการความสัมพันธ์ (Communication and Relationship Management Measures):
   – จัดทำแผนการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกรณีเกิดเหตุละเมิด
   – สร้างช่องทางการรับแจ้งเหตุและข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล
8. มาตรการการประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Risk Assessment Measures):
   – จัดให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
   – ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ช่องโหว่อัตโนมัติ (Automated Vulnerability Analysis Tools)
 
มาตรการเหล่านี้ช่วยสร้างระบบป้องกันแบบหลายชั้น (Defense in Depth) ที่ไม่เพียงแต่ป้องกันการละเมิดในรูปแบบเดิม แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการตรวจจับ ตอบสนอง และฟื้นฟูจากเหตุละเมิดในรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การนำมาตรการเหล่านี้มาใช้อย่างเหมาะสมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุละเมิดซ้ำและเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลโดยรวม
เมื่อแจ้งมาตรการเหล่านี้ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลควรระบุมาตรการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น และอธิบายว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุละเมิดในลักษณะเดียวกันซ้ำอีกได้อย่างไร
เสริมทีม DPO เพิ่มทักษะ PDPA องค์กรด้วยหลักสูตร DPS: Workshop Series >> คลิก <<
pdpa guru
dpo in action อบรม pdpa dpo
DPO ภาครัฐ PDPA
หลักสูตร PDPA in Action
DPAC อบรม PDPA Internal Audit
PDPA Guru Google Forms EP8
DPOinActionรุ่น19 1200x300
DPO in Action TU - 1200x300
Advanced PDPA in Action สำหรับภาคเอกชน
Banner DPAC 1200x300
dpo รวม