Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : ไพศาล สามิภัตย์

Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ?

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : ไพศาล สามิภัตย์

     จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมต้องรับมือกับการบังคับใช้ PDPA อย่างไร ? ที่ได้มีการกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจการโรงแรมและที่พัก ในวันนี้เราจะมาเจาะลึกรายละเอียดของแต่ละกระบวนการว่าเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมุลส่วนบุคคลอย่างไรบ้าง โดยกระบวนการแรกคือกระบวนการรับการจองห้องพัก (Reservation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากที่ลูกค้าค้นหาที่พักและมีการเปรียบราคาก่อนตัดสินใจจองที่พัก โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งช่องทางการจองออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การจองโดยผู้เข้าพักโดยตรง (Direct guest) เช่น เว็บไซต์โรงแรม โทรศัพท์ อีเมล หรือการจองผ่านแพลตฟอร์มการสื่อสารอื่นๆ เป็นต้น และ 2) การจองผ่านทางตัวแทนรับจองห้องพัก (Agent) ซึ่งจะมี 2 ประเภทย่อย คือ ตัวแทนรับจองห้องพักทั่วไป (Travel Agent) และ ตัวแทนรับจองห้องพักออนไลน์ (Online Travel Agent : OTA)

     การจองห้องพัก เป็นกิจกรรมแรกที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลครั้งแรก โดยทั่วไปแล้วข้อมูลที่มีการเก็บในกิจกรรมนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

  • ข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อนามสกุล เลขบัตรประชาชน/หนังสือเดินทาง อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ช่วงเวลาการเข้าพักและการเดินทาง หลักฐานการโอนเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
  • ข้อมูลอ่อนไหว เช่น ข้อมูลอาหารที่แพ้ ซึ่งอาจมีการเก็บมากรณีลูกค้ามีความต้องการพิเศษ

     การจัดเก็บข้อมูลสำหรับกิจกรรมการจองห้องพักดังกล่าว โรงแรมสามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปของผู้เข้าพักได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการโรงแรม แต่ในส่วนของข้อมูลประเภทความอ่อนไหว เช่น ข้อมูลการแพ้อาหาร ซึ่งเป็นสุขภาพ โรงแรมควรเพิ่มการใช้ฐานความยินยอม (Consent) ตามมาตรา 19 ประกอบมาตรา 26 โดยการขอความยินยอม นั้นอาจทำเป็นเอกสารหรือรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ควรขอก่อนหรือขณะที่ลูกค้าทำการลงทะเบียนเข้าพัก จำเป็นต้องมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บที่ชัดเจน ใช้รูปแบบของข้อความที่เข้าใจง่าย ให้ความอิสระกับผู้เข้าพัก ไม่เป็นการบังคับ ไม่เป็นเงื่อนไขต่อการให้บริการ และแจ้งผลกระทบการถอนความยินยอม

     แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลประเภทอ่อนไหวที่มีการเก็บในกิจกรรมการจองห้องพักนี้ ควรหลีกเลี่ยงการจัดเก็บเพราะจะเป็นการเพิ่มภาระในการที่โรงแรมจะต้องไปขอความยินยอมจากผู้เข้าพัก อีกทั้งไม่มีความจำเป็นในการจัดเก็บ ซึ่งหากต้องการเก็บข้อมูลอ่อนไหวเหล่านี้ โรมแรมเองก็จะมีหน้าที่เพิ่มเติมในการดูแลข้อมูลที่เกินความจำเป็น และโรงแรมต้องไม่ลืมว่าขั้นตอนการจอง

     นั้นผู้เข้าพักอาจมีการยกเลิกการจองเมื่อใดก็ได้ หรือหากโรงแรมพิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องเก็บควรเปลี่ยนไปจัดเก็บในกระบวนการลงทะเบียนเข้าพัก (Registration) แทน สำหรับการอำนวยความสะดวกในการบริการแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

     นอกการขอความยินยอมแล้ว โรงแรมต้องมีการแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy notice) ให้ผู้เข้าพักทราบ เพื่อแจ้งรายละเอียดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ทางโรงแรมอาจแจ้งผ่านหน้าเว็บไซต์ ทางอีเมล เอกสาร หรือผ่านทาง QR code เพื่อให้ผู้เข้าพักทราบ ทั้้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของโรงแรม โดยต้องมีการระบุรายละเอียดขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ได้แก่

  1. วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย
  2. แจ้งให้ทราบถึงกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อปฏิบัติ ตามกฎหมายหรือสัญญาหรือรวมทั้งแจ้งถึง ผลกระทบที่เป็นไปได้จากการไม่ให้ข้อมูล
  3. ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีการเก็บรวบรวมและระยะเวลาในการเก็บรวบรวมไว้
  4. ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมอาจจะถูกเปิดเผย
  5. ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล สถานที่ติดต่อ และวิธีการติดต่อ
  6. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

     การเก็บรักษา (Storage) ส่วนใหญ่ข้อมูลที่จัดเก็บจะมีทั้งที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และรูปแบบเอกสาร ส่วนของข้อมูลรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจมีการใช้ระบบการลงทะเบียนเข้าพัก โรงแรมควรมีการกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานแต่ละคนด้วยระบบการยืนยันตัวตน (Authentication) เช่น การใช้ Username/Password ที่เข้าถึงได้ยากเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลรวมถึงมีการทบทวนอยู่เสมอ เป็นต้น กรณีที่เป็นรูปแบบเอกสารกระดาษควรมีสถานที่เก็บเอกสารที่เป็นกิจจะลักษณะ กำหนดสิทธิการเข้าถึงว่าฝ่ายใดที่เข้าถึงได้บ้างและมีกุญแจล็อค 

     ในกรณีที่ลูกค้ามีการจองและยืนยันการจองแล้ว กระบวนการขั้นต่อไปคือการลงทะเบียนเข้าพัก (Registration) แต่หากลูกค้าทำการยกเลิกการจองห้องพัก เอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่โรงแรมมีการเก็บนั้นควรพิจารณากรอบความจำเป็นในการเก็บว่าควรมีระยะเวลานานเท่าใด และหากไม่มีความจำเป็นแล้ว โรงแรมต้องทำลายเอกสารหรือข้อมูลดังกล่าวให้เรียบร้อย ซึ่งอาจดำเนินการทำลายตามลักษณะของเอกสาร คือ รูปแบบเอกสารกระดาษ อาจกำหนดการทำลายด้วยเครื่องย่อยกระดาษ การเผา หรือการส่งให้บริษัทที่ทำหน้าที่ทำลายเอกสาร ส่วนกรณีรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์อาจใช้วิธีการลบ หรือทำให้เป็นข้อมูลนิรนาม ที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้

     โรมแรมบางแห่งอาจมีการใช้ระบบการชำระเงิน (Payment gateway) หรือระบบที่รวบรวมและโอนเงินลูกค้าไปยังโรงแรม หรือก็คือตัวกลางทางธุรกิจระหว่างลูกค้ากับโรงแรม เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยบริษัทที่ให้บริการระบบชำระเงิน นั้น อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างโรงแรม ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับผู้ให้บริการระบบชำระเงิน ควรมีการทำข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลกัน (Data Sharing Agreement : DSA) โดยอาจเพิ่มเนื้อหาเข้าไปในสัญญา หรือ แนบท้ายสัญญา ทั้งนี้เพื่อ ช่าวยให้คู่สัญญาทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคล

     กรณีที่เป็นการรับจองผ่านทางตัวแทนรับจอง (Agent) โดยจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ตัวแทนรับจองทั่วไปและตัวแทนรับจองออนไลน์ (Online Travel Agent : OTA) เนื่องจากโรงแรมไม่ได้เก็บข้อมูลด้วยตัวเอง และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลของผู้จอง โรมแรมกับตัวแทนรับจองควรมีการจัดทำข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลด้วย (Data Sharing Agreement : DSA) รวมถึงมีการแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว ตามรายละเอียดที่ได้กล่าวมาในข้างต้นด้วย

     กิจกรรมการจองห้องพักนั้น เป็นกิจกรรรมที่มีความสำคัญมาก เป็นต้นทางในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้าพัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและที่พัก ในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องให้ความสำคัญและระมัดระวัง เพราะจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการเข้าใช้บริการ การที่โรงแรมปฏิบัติให้เป็นไปตาม PDPA จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุน/สนับสนุนทรัพยากรทั้งด้านบุคลากรและเวลาในการปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว และควรมีการปรับปรุง ทบทวนการทำงานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโอกาสในการรั่วไหลหรือการล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และเพื่อเป็นการสร้างมั่นใจให้กับผู้เข้าพัก ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล (Data Subject) ในกิจกรรมนี้ ว่าเมื่อมาใช้บริการของท่านแล้ว ข้อมูลจะได้รับการคุ้มครองอย่างมั่นคงและปลอดภัย

วิทยากร E-Larning-13
ไพศาล สามิภัตย์
ที่ปรึกษากฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จาก PDPA Thailand

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ