การล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลในวงการกีฬา : กรณีศึกษาสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : สุชเนศ จรรยา

การล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลในวงการกีฬา : กรณีศึกษาสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้

แชร์

อ่าน

ครั้ง

โดย : สุชเนศ จรรยา

     ไม่นานมานี้ มีข่าวใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อวงการกีฬาเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่องของการละเมิดกฎทางการเงิน (Financial Fair Play : FFP) โดยสื่อใหญ่อย่างเดอะไทมส์ (The Times) ได้รายงานว่า มีการทุจริตทางการเงินโดยสโมสรชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษแมนเชสเตอร์ซิตี้ “เรือใบสีฟ้า” ได้ทำกระทำผิดกฎการเงินเป็นจำนวนกว่า 100 ครั้งภายใน 9 ปี ตั้งแต่ปี 2552 – 2561 ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก

แต่ว่า FFP มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล?

     ความสัมพันธ์ระหว่าง FFP และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ชัดเจนนัก แต่อาจมีปัญหาบางประการเกี่ยวกับวิธีที่สโมสรปฏิบัติตามข้อบังคับ ตัวอย่างเช่น สโมสรอาจจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินบางอย่างแก่ยูฟ่าเพื่อจุดประสงค์ FFP แต่พวกเขายังต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้เล่น พนักงาน และแฟนคลับ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูล พวกเขายังอาจเผชิญกับความท้าทายในการถ่ายโอนข้อมูลข้ามเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกันด้วยมาตรฐานทางกฎหมายที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ นักวิจารณ์บางคนแย้งว่า FFP ละเมิดกฎหมายการแข่งขันของยุโรปและจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของผู้เล่น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการปกป้องข้อมูลด้วย

     นอกจากนี้ สโมสรฟุตบอลยังสามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของนักเตะ เจ้าหน้าที่ และแฟนบอลเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น สัญญานักเตะ เวชระเบียน และการตลาด แต่กฎหมายกำหนดให้สโมสรต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลก่อนที่จะรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลและตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลได้รับการคุ้มครองจากการเข้าถึงการใช้หรือการเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นสโมสรฟุตบอลต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

ย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา ต้นเหตุ คือแฮกเกอร์มือทองรายหนึ่งนามว่า “รุย ปินโต้” ได้แฮกอีเมลของสโมสรเพื่อมาเปิดโปงเรื่องไม่ชอบมาพากล ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ไม่โปร่งใสหรือการโยกย้ายปรับแต่งบัญชีการเงินของสโมสร จากการที่สโมสรโดนแฮกอีเมลนี่เอง ทำให้ไม่เพียงแต่มีข้อมูลทางการเงินจำนวนมากที่ถูกละเมิด แต่ยังรวมไปถึง “ข้อมูลส่วนบุคคล” อีกด้วย

สโมสรฟุตบอล ในฐานะองค์กรธุรกิจต้องรับมืออย่างไร?

     Hacker หรือ กลุ่มอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ถือเป็นภัยคุกคามอย่างหนึ่งที่นำไปสู่เหตุการละเมิดข้อมูล” (Data Breach) กลุ่มคนเหล่านี้ จะเข้าถึง เปิดเผย หรือทำลายข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลประเภทใดก็ได้ เช่น ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลทางธุรกิจ

ในทางกลับกัน การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Breach) เกี่ยวข้องกับการเข้าถึง การเปิดเผย หรือการทำลายข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเกิด หรือข้อมูลทางการเงิน หรือบทความสนทนาบนอีเมลของสโมสรฟุตบอล

จะกล่าวว่าการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้งถือเป็นการละเมิดข้อมูล แต่ไม่ใช่ว่าการละเมิดข้อมูลทุกครั้งจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลก็คงไม่ผิดความเป็นจริงแต่ประการใด

     สโมสรควรจะยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Information Security Measurement) ซึ่งจะครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคลโดยปริยาย และมาตราการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) สโมสรต้องเพิ่มมาตรการเชิงเทคนิคในด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล ว่าเก็บอย่างไร ใช้อย่างไร ใครบ้างที่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลหรือแม้กระทั่งการลบทำลายข้อมูล  เพราะหากเกิดการหลุดรอดของข้อมูลออกไป นอกจากจะมีผลต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว สโมสรหรือองค์กรก็จะยิ่งได้รับผลกระทบความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม

     หากเกิดการละเลยจากผู้บริหาร ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาอาจพังทลายได้ในพริบตา ยังไม่รวมถึงความเสียหายในด้านการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาอีกมหาศาล  อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอย่างยิ่งในการกระทำความผิดในแง่ของการละเลยต่อการดูแลรักษาข้อมูลของเจ้าของข้้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject)

     จากประเด็นทั้งหมดข้างต้น ยิ่งทำให้เห็นถึงปัญหาและความน่ากังวลในหมู่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ต่าง ๆ ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นสโมสรฟุตบอล หรือแม้แต่องค์ต่าง ๆ ที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้นั้น  สิ่งเหล่านี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าองค์กรหรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรละเลยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ควรต้องล้อมรั้ววางมาตรการรับมือ เพราะการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรแล้ว ยังเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการกระทำผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการประกาศบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการในราชอาณจักรไทย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562

     สิ่งที่จะสามารถช่วยให้องค์กรดำเนินธุรกิจต่างๆได้อย่างไม่ขัดต่อ PDPA แน่นอนว่าคงไม่พ้นเรื่องของการสร้างการตระหนักรู้ ตั้งแต่ระดับผู้บริหารสูงสุดไปจนถึงพนักงานทุกระดับโดยไม่ข้อยกเว้น หลายครั้งองค์กรธุรกิจมักกังวลว่า PDPA จะเข้ามามีผลต่อการทำธุรกิจทั้งในแง่ของการนำข้อมูลไปใช้การขายและการทำการตลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรพึงตระหนักรู้ คือแม้ว่าต่อให้ไม่มี PDPA การดูแลรักษาข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก็คือสิ่งที่องค์กรที่ดีพึงปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนโดยแท้จริง

Image_20230315_102728_877-min
นายสุชเนศ จรรยา
ที่ปรึกษากฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จาก PDPA Thailand

บทความที่เกี่ยวข้อง

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข่าวการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่เข้ามาเจาะระบบ ทั้งจากการป้องกันการหลุดรั่วของข้อมูลส่วนบุคคลที่หละหลวม PDPA Thailand และวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 นับจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ PDPA Thailand จึงรวบรวมเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึง พ.ศ.2566 มาให้ดูกัน     เมษายน 2561 ข้อมูลลูกค้า True Move H หลุดรั่ว ฐานข้อมูลลูกค้า Truemove H ที่สมัครซื้อซิมพร้อมมือถือผ่าน iTruemart หลุดรั่วจำนวน 64,000 ราย ที่มา https://www.beartai.com/news/it-thai-news/233905   กันยายน 2563 โรงพยาบาลสระบุรี ถูกแรนซัมแวร์โจมตี “โรงพยาบาลสระบุรี” ถูกไวรัสแรนซัมแวร์ แฮกฐานข้อมูลระบบบริการผู้ป่วย ทำให้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลประวัติเก่าหรือให้บริการออนไลน์ได้ ที่มา https://www.sanook.com/news/8248818/   กุมภาพันธ์ 2564 ที่ว่าการอำเภอถลาง ใช้กระดาษรียูส ด้านหลังเป็นใบสำเนามรณบัตร สาวจดทะเบียนสมรส ได้ใบเสร็จพ่วงมรณบัตร สาเหตุจากการใช้กระดาษรียูสในการออกใบเสร็จ แต่เคสนี้เจ้าหน้าที่เผลอนำใบสำเนามรณบัตรมาใช้ ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/south/2543643   สิงหาคม 2564 Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี สายการบิน Bangkok Airways ถูกแรนซัมแวร์โจมตี คนร้ายลอบขโมยข้อมูลลูกค้าออกไปได้กว่า 100GB ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เพศ, สัญชาติ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ และอีเมล รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น
เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวไกลไปมากทำให้การดำเนินการต่าง ๆเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น ตั้งแต่การเดินทางรวมถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่มีการนำวิทยาการนำมาใช้ ได้แก่ สถานพยาบาลนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย เช่น ใช้หุ่นยนต์ในการส่งแฟ้มเอกสารระหว่างแผนก หรือการใช้ระบบต่างเพื่อรวบรวมข้อมูลคนไข้ไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหา ซึ่งกระบวนการหนึ่งที่มีการใช้งานได้แก่ การส่งต่อรูปถ่าย ซึ่งปัจจุบันนั้นวัตถุประสงค์หลัก ๆในการส่งรูปถ่ายจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการรักษาหรือติดตามอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ มันมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ และหากจำเป็นต้องมีการใข้ข้อมูลภาพถ่ายจะต้องใช้อย่างไรเพื่อให้สอดคล้องตามหลักของ PDPA ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ถือว่าเป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือไม่ จากที่เราทราบกับข้อมูลอ่อนไหว ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลภาพถ่ายคนไข้นั้นถือได้ว่าเป็นข้อมูลสุขภาพ ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล พ.ศ. 2561 ที่นี้เมื่อทราบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีแนวหรือหลักการเพื่อให้การใช้ข้อมูลรูปถ่ายเป็นไปตามหลักของ PDPA หากจำเป็นต้องใช้ ต้องทำอย่างไร โดยหลักการของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลควรใช้ข้อมูลตราบเท่าที่จำเป็น เช่นกัน การใช้ข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ก็ควรจะต้องมีการใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเช่นกัน โดยเมื่อจำเป็นต้องมีการเก็บมูล จำเป็นต้องมีการขอความยินยอมก่อน รวมถึงมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลภาพถ่ายคนไข้ ซึ่งการแจ้งประกาศนั้นอาจจะมีเป็นการแจ้งเป็นประกาศความเป็นส่วนตัวของ คนไข้หรือลูกค้าตามแต่กรณี ต่อมาในการใช้งานหรือประมวลผลควรใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งได้แก่ใช้เพื่อรักษาหรือติดตามอาการเท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อเหตุอื่น ถามว่าการเอารูปถ่ายคนไข้ให้หมอท่านอื่นดูได้หรือไม่ เพราะบางครั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้นอาจจำเป็นต้องมีการนำภาพคนไข้ เพื่อปรึกษากับหมอท่านอื่น ตัวอย่างเช่น กรณีคนไข้มารักษาสิว เมื่อทำการรักษาแล้วหากพบว่าบริเวณที่รักษามีปัญหาขึ้นมา กรณีเช่นนี้หากเป็นไปเพื่อการรักษาและติดตามอาการก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงความจำเป็นดังกล่าว โดยอาจจะสื่อสารผ่านตัวประกาศความเป็นส่วนตัวได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วนั้นหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ต้องมีความระมัดระวังในการเผยแพร่รูปถ่ายคนไข้ด้วย แม้จะมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือคนไข้แล้วก็ตาม โดยหมอที่เป็นเจ้าของไข้นั้น ควรมีความระมัดระวังในการที่จะไม่เผยแพร่ภาพถ่ายคนไข้ดังกล่าวไปสู่หมอ รวมถึงบุคลกรทางการแพทย์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนไข้ให้รับทราบ นอกจากนี้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันนั้นวิทยาการด้านการสื่อสารสามารถส่งต่อข้อมูลดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะมาจากช่องทางอีเมล Messenger เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อมีการส่งข้อมูลรูปถ่ายคนไข้ไป จำต้องมีคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ตัวอย่าง ไม่ควรส่งรูปถ่ายคนไข้ผ่านช่องทางการสื่อสารสาธารณะ เช่น Line เป็นต้น หรือหากจำเป็นต้องมีการส่งจริง ๆก็ควรมีมาตรการในการป้องกันการเข้าถึงด้วยตัวอย่างเช่น อาจจะมีการส่งข้อมูลโดยมีการเข้ารหัส โดยส่งรหัสดังกล่าวไปให้ปลายทางรับทราบพียบท่านเดียวเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถึงมือผู้รับจริง และมีเพียงแต่ผุ้รับรหัสเท่านั้นที่จะสามารถเปิดดูข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้ โดยภาพรวมนั้นสถานพยาบาลมีกิจกรรมหลาย ๆกิจกรรมที่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มี่ความอ่อนไหว เช่น กิจกรรมการนำภาพถ่ายคนไข้มาใช้เพื่อติดตามผลการรักษาคนไข้ ทั้งนี้สามรถทำได้แต่จำเป็นต้องมีแนวทางหรือกระบวนการบางอย่างมาเป็นมาตรฐานในการส่งต่อข้อมูล นอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Hotel reservation ไม่เกี่ยวกับ PDPA จริงหรือ ? ที่ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการการจองที่พักในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ เอเย่น walk-in ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงกระบวนการที่ต่อเนื่องกันคือ กระบวนการการรับส่งจากสนามบินหรือสถานที่ต่างๆ ไปยังโรงแรม ในบางกรณีผู้เข้าพักบางท่านอาจมีความต้องการใช้บริการรถรับส่งเพื่อให้รับจากสนามบินมายังโรงแรมเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก รูปแบบการรับส่งที่สนามบินโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Inhouse limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง Outsource limousine คือ กรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม ในกรณีที่โรงแรมมีบริการรับส่งด้วยตัวเอง (Inhouse limousine)  โดยทั่วไปข้อมูลของผู้เข้าพักจะถูกโรงแรมเก็บมาแล้วจากขั้นตอนการจองห้องพัก แต่อาจมีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นการยืนยันตัวผู้เข้าพักอีกครั้ง การนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการนี้ โรงแรมต้องมีการระบุวัตถุประสงค์นี้เข้าไปในประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก (Privacy notice) และแจ้งให้ผู้เข้าพักทราบในขั้นตอนการรับจองห้องพัก หรือจะแจ้งอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งย้ำให้ผู้เข้าพักทราบก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ การที่โรงแรมนำข้อมูลมาใช้ประมวลผลในกระบวนการนี้สามารถใช้ฐานสัญญา ตามมาตรา 24(3) ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอก่อนการเข้าทำสัญญาใช้บริการ ในกรณีที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทรับส่งภายนอก ให้ดำเนินการรับส่งผู้เข้าพักแทนโรงแรม หรือ Outsource limousine ทางโรงแรมอาจจะมีการส่งรายชื่อของผู้ที่จะเข้าพักให้กับบริษัท Outsource limousine ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายนอก เช่น ข้อมูล ชื่อ นามสกุล รายละเอียดการเดินทางและการเข้าพัก เป็นต้น การที่โรงแรมมีการจ้างบริษัทภายนอกให้ดำเนินการด้านการรับส่ง บริษัทรับส่งนั้นทำตามภายในนามหรือภายใต้คำสั่งโรงแรมนั้น บริษัท Outsource limousine จึงมีสถานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ซึ่งตามมาตรา 40 วรรค 2 กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่ต้องจัดให้มีข้อตกลงระหว่างกัน เพื่อควบคุมการดำเนินการตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ระหว่าง โรงแรมกับบริษัท Outsource limousine  ควรมีการทำข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processing Agreement : DPA)  ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประมวลผล ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การกำหนดมาตรฐานในการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลและขอบเขตในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยรายละเอียดของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคล
thThai

ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบ