พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA เป็นกฎหมายที่สร้างความตื่นตัวอย่างมาก โดยหลาย ๆ องค์กรหันมาศึกษาและพยายามดำเนินการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างจริงจังกันแล้ว เพราะกำหนดการบังคับใช้ พ.ร.บ. อย่างเต็มรูปแบบกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ (มิถุนายน 2564)
ผู้บริหารขององค์กรในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลก็คงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ Data Protection Officer (เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) หรือที่เรียกกันติดปากอย่างย่อ ๆ ว่า DPO (ดีพีโอ) กันมาบ้าง เพราะทั้งใน PDPA และ GDPR ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย ต่างมีบทบัญญัติที่กล่าวถึงความจำเป็นและบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งงานนี้
DPO คือใคร?
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Data Protection Officer เป็นตำแหน่งงานใหม่ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเป็น “ผู้รับผิดชอบ” ให้แน่ใจว่าการประมวลผลข้อมูลขององค์กรดำเนินการอย่างสอดคล้องกับกฎหมายและราบรื่นมากที่สุด และมีหน้าที่ (ตาม PDPA มาตรา 42 และเอกสารประกอบอื่น) ดังต่อไปนี้
- ให้คำแนะนำแก่ผู้ควบคุมข้อมูล/ผู้ประมวลผลข้อมูล และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ตลอดจนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับอื่น
- ดูแลการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายคุ้มครองข้อมูลขององค์กร รวมถึงจัดการกิจกรรมคุ้มครองข้อมูลภายในองค์กร เช่น การสร้างความตระหนักถึงประเด็นและกระบวนการคุ้มครองข้อมูล การฝึกอบรมบุคลากร การประเมินความเสี่ยงของข้อมูล การตรวจสอบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายในองค์กร และการรับมือกับคำร้องด้านการประมวลผลข้อมูลจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือหน่วยงานที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นต้น
- ประสานงานและร่วมมือกับสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ในกรณีที่มีปัญหาในการประมวลผลข้อมูล
- บันทึกและเก็บรักษารายการกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลขององค์กร
- รักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลจากการปฏิบัติหน้าที่
*ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลเป็นผู้รับผิดชอบต่อการแสดงออกและการดำเนินการตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรเสมอ เจ้าหน้าที่คุ้มครองครองข้อมูลส่วนบุคคลมิใช่ผู้ที่รับผิดชอบโดยส่วนตัว
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องได้รับความสะดวกจากผู้ควบคุมข้อมูล/ผู้ประมวลผลข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือแผนกอื่น ๆ ในองค์กร มีอำนาจ และจะต้องสามารถรายงานไปยังบรรดาผู้บริหารสูงสุด (Top Management) อย่างเช่น บอร์ดบริหาร ของผู้ควบคุมข้อมูล/ผู้ประมวลข้อมูลได้โดยตรงในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น
การกำหนดตำแหน่ง DPO ขององค์กร กล่าวได้ว่าเป็นการดำเนินการตาม “หลักความรับผิดชอบ” (Accountability) ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง GDPR ที่ระบุว่าคุณต้องรับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมาย และมีหลักฐาน/ข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการตามกฎหมายด้วย
กฎหมายบัญญัติไว้ องค์กรของคุณต้องมี DPO หรือไม่?
สำหรับผู้ควบคุมข้อมูล/ผู้ประมวลผลข้อมูลหลาย ๆ คนที่กำลังรู้สึกสับสน อาจมีความเชื่อว่า “ขนาดขององค์กร” คือตัวแปรสำคัญที่ใช้พิจารณา และ “องค์กรขนาดใหญ่” คือองค์กรที่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเอาไว้คอยสอดส่องดูแลกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล…ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่แน่เสมอไปครับ

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งสองฉบับ (GDPR มาตรา 37 และ PDPA มาตรา 41) มีบทบัญญัติที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลจะต้องกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประจำ ในกรณีที่:
- เป็นองค์กรสาธารณะหรือหน่วยงานรัฐตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด ยกเว้นศาลที่ประมวลผลข้อมูลเพื่อดำเนินการตามขอบเขตของอำนาจศาล
- มีกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลของบุคคลจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการสอดส่องดูแล/ตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ (เช่น การติดตามพฤติกรรมบุคคลออนไลน์)
- มีกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก ที่เข้าข่ายเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว หรือเป็นข้อมูลที่สัมพันธ์การตัดสินคดีความหรือข้อกล่าวหา
ตัวผู้บริหารเองจะต้องลองประเมินว่าองค์กรของคุณเข้าข่ายตามข้อบัญญัติของกฎหมายข้างต้นหรือไม่ ถ้าใช่ คุณควรต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ถ้าองค์กรของคุณประมวลข้อมูล (ส่วนบุคคล) จำนวนไม่มากนัก ก็ไม่มีความจำเป็นครับ เพียงแต่ต้องดูแลให้มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นและสอดคล้องตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
คุณสมบัติของคนเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หลังจากที่ประเมินได้แล้วว่า องค์กรของคุณจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ คราวนี้เรามาดูกันที่การสรรหากันดีกว่าครับ ว่าในมุมมองของผู้บริหารหรือฝ่ายทรัพยากรบุคคลอาวุโส คุณจะมีเกณฑ์การเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างไรเพื่อมาเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กร เพราะหน่วยงานกลางไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติอย่างเป็นทางการของผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ออกมา

เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยทั้งการศึกษา ประสบการณ์ ตลอดจนมีสายอาชีพ และ/หรือวุฒิบัตรรับรองความสามารถในแขนงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีรายการคุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งนี้ ดังนี้
- มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ในระดับเชี่ยวชาญ
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาความมั่นคงทางสารสนเทศ วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือสาขาใกล้เคียง หรือจบการศึกษาระดับปริญญาตรี/นิติศาสตร์บัณฑิต และมีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวข้องกับด้านความเป็นส่วนตัว การปฏิบัติให้สอดคล้องตามกฎหมาย ความมั่นคงทางสารสนเทศ การตรวจสอบการดำเนินงาน หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
- ควรมีประสบการณ์การทำงาน (มากกว่า 5 ปี) ในตำแหน่งเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และ/หรือ การจัดการความเสี่ยงของการปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมาย
- อาจจำเป็นต้องมีวุฒิบัตรรับรองจาก International Association of Privacy Professionals (IAPP) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความเป็นส่วนตัว/การคุ้มครองข้อมูล/การจัดการความเสี่ยงของข้อมูล ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น CIPP หรือ CIPM ส่วนจะมีวุฒิบัตรใดอีกบ้างที่สามารถใช้เป็นมาตรฐานรับรองความรู้ความสามารถของผู้ที่มีความสามารถเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ จำเป็นต้องรอประกาศจากคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกครั้งหนึ่ง
ตามข้อกำหนดของกฎหมาย เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอาจเป็นบุคลากรในองค์กร หรือบุคลากร Third-Party ภายนอกองค์กรที่เป็น Outsource ก็ย่อมได้ โดยถ้าหากเป็นบุคลากรในองค์กรจะต้องไม่มีอำนาจหน้าที่การทำงานที่ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่เป็น DPO อย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติแล้ว gdpr.eu สนับสนุนให้พยายามแต่งตั้งบุคลากรภายในองค์กรเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเนื่องจากบุคคลนี้เป็นผู้ที่มองเห็นโครงสร้างการไหลเวียนของข้อมูลองค์กรได้อย่างชัดเจน และมักจะเข้าใจความต้องการของการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในวงการเฉพาะมากกว่าบุคคลภายนอกนั่นเอง
โดยคุณสมบัติอย่างเป็นทางการของ “เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ยังคงต้องรอคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ของไทย) ประกาศอีกครั้งเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นในเร็ว ๆ นี้ ก่อน PDPA บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบอย่างแน่นอน
สรุป เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยหลาย ๆ องค์กรจำเป็นต้องมีตำแหน่งนี้ประจำเพื่อ Facilitate – อำนวยความสะดวกให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างราบรื่นและดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณต้องพิจารณาว่าองค์กรของคุณเข้าข่ายต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ โดยแนะนำให้สรรหาจากบุคลากรภายในองค์กรเพื่อความเข้าใจที่มีต่อ Data Flow และความต้องการขององค์กร
ในมุมกลับกัน ใครอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกอยากทำงานเป็น DPO ก็อย่าลืมสำรวจวุฒิของตนเอง ฝึกอบรมหาประสบการณ์ และสอบวุฒิบัตรรับรองความสามารถเตรียมเอาไว้เลย เพราะตำแหน่งนี้มี รายได้เฉลี่ยสูงถึง 130,000+ / เดือน (06/11/2563) เลยทีเดียวครับ!

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับหลักสูตร Personal Data Protection Certificate: PDPC เนื้อหาครอบคลุม กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และแนวทางการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หากผู้บริหารองค์กรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กรท่านใด ได้อ่านบทความเกี่ยวกับ Data Protection Officer ตามข้างต้น และมีความกังวลเกี่ยวกับแนวทางการคุ้มครองข้อมุลส่วนบุคคล หรือการจ้างงานเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประจำองค์กร บริษัท ดิจิทัล บิสิเนส คอนซัลท์ จำกัด (Digital Business Consult: DBC) ยินดีรับให้คำปรึกษา พร้อมบริการอบรมแบบ In-house Training ภายในองค์กรและอบรมออนไลน์หลักสูตร Personal Data Protection Certificate ครบวงจร เพื่อเป็น Solution ให้กับองค์กรที่ต้องการดำเนินการตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (PDPA)
Our Consultation Service <<< คลิกเพื่อศึกษารายละเอียดบริการที่ปรึกษาด้าน PDPA
PDPA Thailand <<< หรือคลิกเพื่อสอบถามข้อมูลผ่านทาง Facebook Messenger